รัฐบาลสโลวาเกียเมินกระแสต่อต้าน เดินหน้าอนุมัติแผนฆ่าหมีสีน้ำตาล 1 ใน 4 ของประเทศ พร้อมเปิดทางจำหน่ายเนื้อให้ประชาชนบริโภค หวังลดจำนวนหมีป่าที่ชอบออกมาโจมตีคน และเพื่อไม่ให้ทรัพยากรถูกทิ้งเปล่า ขณะที่นักอนุรักษ์จวกยับ ละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป
วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า รัฐบาลสโลวาเกียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต ฟิโก ได้อนุมัติแผนจำหน่าย "เนื้อหมีสีน้ำตาล" ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของสหภาพยุโรป (EU) ให้ประชาชนทั่วไปสามารถบริโภคได้ โดยเริ่มดำเนินการได้ภายในสัปดาห์หน้า ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องผ่านเกณฑ์สุขอนามัยและกฎหมายทั้งหมด
รายงานข่าวระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมจำนวนหมีสีน้ำตาล หลังรัฐบาลอนุมัติให้ฆ่าหมีอย่างถูกกฎหมาย ราว 350 ตัว หรือประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนหมีสีน้ำตาลที่มีอยู่ในประเทศกว่า 1,300 ตัว หลังเกิดกรณีหมีทำร้ายคนจนเสียชีวิตในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โดยนายนายฟิลิป คุฟฟา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ระบุว่า จะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองหากต้องกำจัดซากหมีทั้งหมด และรัฐบาลควรปล่อยเนื้อของสัตว์ที่ถูกยิงให้สามารถนำมาบริโภคได้ เพราะเนื้อหมีสามารถรับประทานได้
ทั้งนี้ หมีสีน้ำตาลจัดอยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์ ตามบัญชีของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของสหภาพยุโรป โดยจะสามารถฆ่าได้เฉพาะในกรณีที่เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะเท่านั้น และต้องไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า
อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์และนักการเมืองฝ่ายค้านต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างรุนแรง โดยนายมิคาล วีซิก นักนิเวศวิทยาและสมาชิกสภายุโรปจากพรรคฝ่ายค้าน สโลวาเกียก้าวหน้า ระบุว่า แผนนี้ไร้สาระและไม่ช่วยลดจำนวนที่หมีโจมตีคนแต่อย่างใด พร้อมตั้งความหวังว่าสหภาพยุโรปจะเข้ามาแทรกแซงในประเด็นนี้
...
ด้านนางมิรอสลาวา อาเบโลวา จากกลุ่มกรีนพีซ สโลวาเกีย ออกโรงประณามแผนนี้ว่า เป็นการละเลยคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์ พร้อมเตือนว่ารัฐบาลกำลังละเมิดกฎหมายการอนุรักษ์อย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สโลวาเกียถือเป็นประเทศที่มีจำนวนหมีสีน้ำตาลมากเป็นอันดับสองในยุโรป รองจากโรมาเนีย โดยระหว่างปี 2000-2020 มีรายงานการถูกหมีโจมตีถึง 54 ครั้ง และในช่วงไม่กี่ปีหลัง อัตราการเผชิญหน้ากับหมีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10 ครั้ง นอกจากนี้เนื้อหมีไม่ได้ถือว่าเป็นอาหารทั่วไปในยุโรป แต่เป็นอาหารพื้นบ้านในบางภูมิภาคของยุโรปตะวันออกหรือแถบนอร์ดิกเท่านั้น.
ที่มา BBC