• โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาวในแอฟริกาใต้ ล่าสุดถึงขั้นเผชิญหน้ากับผู้นำแอฟริกาใต้ในเรื่องนี้ ระหว่างการพบปะกันที่ทำเนียบขาว

  • แอฟริกาใต้ยืนยันว่า ไม่ได้ชิงที่ดินไปจากชาวสวนผิวขาวตามที่นายทรัมป์กล่าวอ้าง และคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศก็เกิดกับคนทุกเชื้อชาติไม่ใช่แค่เฉพาะคนผิวขาว

  • กลุ่มฝ่ายขวาในสหรัฐฯ หลายกลุ่มอ้างว่า ชาวอาฟริกาเนอร์ต้องการอพยพมาสหรัฐฯ เพื่อหลบหนีจากการกีดกันทางเชื้อชาติ แต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น

เมื่อสัปดาห์ก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อนุญาตให้ชาวอาฟริกาเนอร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในแอฟริกาใต้ลี้ภัยเข้าสู่สหรัฐฯ พร้อมกับอ้างว่า กำลังเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว เขายังกล่าวหาเรื่องนี้ต่อหน้านาย ไซริล รามาฟอซา ผู้นำแอฟริกาใต้ ระหว่างการพบกันที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธ จนทำให้บรรยากาศตึงเครียดอย่างหนัก

เพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเอง นายทรัมป์ถึงกับเปิดวิดีโอแสดงให้เห็นผู้นำทางการเมืองในแอฟริกาใต้ ร้องเพลงขู่ยิงคนผิวขาว และนำบทความข่าวเกี่ยวกับการเข่นฆ่าชาวสวนที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ให้นายรามาฟอซาดู จนหลายฝ่ายระบุว่า นี่เป็นการลอบโจมตีอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับแอฟริกาใต้เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อเดือนมกราคม รัฐบาลวอชิงตันตัดความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ของทวีปแอฟริกาแห่งนี้ไปแล้ว และส่งตัวเอกอัครราชทูตกลับประเทศเมื่อเดือนเมษายน

แต่คำกล่าวอ้างของนายทรัมป์เป็นจริงแค่ไหน? ตอนนี้กำลังเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาวในแอฟริกาใต้ จนชาวอาฟริกาเนอร์ต้องการอพยพหลบหนีไปสหรัฐฯ จริงๆ หรือ?

...

ชาวอาฟริกาเนอร์ในแอฟริกาใต้
ชาวอาฟริกาเนอร์ในแอฟริกาใต้

ชาวอาฟริกาเนอร์เป็นใคร?

ชาวอาฟริกาเนอร์เป็นลูกหลานชาวยุโรปตะวันตกที่เข้าไปอาศัยอยู่ปลายสุดทางตอนใต้ของแอฟริกาในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ทำให้พวกเขามีเชื้อสายทั้งดัตช์ (34.8%), เยอรมัน (33.7%) และฝรั่งเศส (13.2%) ก่อดำเนินวัฒนธรรมเฉพาะตัว บนแผ่นดินแอฟริกา โดยที่ภาษาของพวกเขาซึ่งเรียกว่า “อาฟริกัน” มีความคล้ายภาษาดัตช์มาก

แต่ในตอนที่พวกเขาลงหลักปักฐานในแอฟริกา ชาวอาฟริกาเนอร์ก็เหมือนชุมชนผิวขาวอื่นๆ พวกเขาบีบให้คนแอฟริกันผิวดำต้องออกจากที่ดินของตัวเอง

ชาวอาฟริกาเนอร์มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าชาวโบเออร์ (Boer) ซึ่งมีความหมายว่า ชาวสวน และพวกเขายังคงใช้ชีวิตใกล้ชิดกับการทำไร่ทำสวนมาจนถึงทุกวันนี้ โดยปัจจุบันพวกเขามีประชากรราว 2.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 4% จากประชากรชาวแอฟริกาใต้ทั้งหมด

ในปี 2491 รัฐบาลแอฟริกาใต้ซึ่งนำโดยชาวอาฟริกาเนอร์ บังคับใช้นโยบายแบ่งแยกสีผิว ทำให้การกีดกันเชื้อชาติที่เลวร้ายอยู่แล้ว แย่ลงไปอีก รวมถึงการห้ามแต่งงานข้ามเชื้อชาติ, สงวนตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะให้คนผิวขาว และบีบให้คนผิวดำอาศัยอยู่แต่ในชุมชนเล็กๆ

ชาวแอฟริกันผิวดำยังถูกห้ามรับการศึกษาในระดับสูงด้วย โดยนายเฮนดริก เวอร์วอร์ด อดีตผู้นำอาฟริกาเนอร์ในยุค 50 เคยมีคำพูดสุดอื้อฉาวเอาไว้ว่า “คนดำไม่ควรได้รับการศึกษาที่ดีกว่า พวกเขาควรรู้ว่าชีวิตของพวกเขาคือการเป็นเพียงคนตัดไม้และคนตักน้ำ”

อย่างไรก็ตาม อำนาจของชาวอาฟริกาเนอร์สิ้นสุดลงในปี 2537 เมื่อคนดำได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแห่งชาติได้เป็นครั้งแรก ทำให้นายเนลสัน แมนเดลา กับพรรคองเกรสแห่งชาติแอฟริกัน (ANC) ของเขา ก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ภาพถ่ายจากโดรนแสดงให้เห็น “อนุสรณ์กางเขนขาว” ที่จังหวัดลิมโปโป ในแอฟริกาใต้ ซึ่งนายทรัมป์อ้างว่าสื่อถึงชาวสวนผิวขาวที่ถูกสังหารตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ภาพถ่ายจากโดรนแสดงให้เห็น “อนุสรณ์กางเขนขาว” ที่จังหวัดลิมโปโป ในแอฟริกาใต้ ซึ่งนายทรัมป์อ้างว่าสื่อถึงชาวสวนผิวขาวที่ถูกสังหารตลอดหลายปีที่ผ่านมา

มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงหรือไม่?

จนถึงตอนนี้ ไม่มีพรรคการเมืองใดในแอฟริกาใต้ แม้แต่พรรคที่เป็นตัวแทนชาวอาฟริกาเนอร์และคนผิวขาวอื่นๆ ออกมาอ้างว่ากำลังเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาวในแอฟริกาใต้

แต่คำกล่าวอ้างดังกล่าวถูกเผยแพร่วนเวียนในกลุ่มฝ่ายขวามานานหลายปีแล้ว และในตอนที่นายทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แรก เขาก็เคยออกมาอ้างว่า กำลังเกิดการเข่นฆ่าชาวไร่ชาวสวนขนานใหญ่ในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นความจริงที่ว่า มีชาวสวนผิวขาวถูกสังหาร แต่ข้อมูลเท็จมากมายกลับถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาในแอฟริกาใต้ปฏิเสธเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยระบุว่าไม่เป็นความจริงและเป็นการจินตนาการไปเอง ระหว่างการตัดสินคดีการรับมรดกที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคเงินให้กลุ่ม Boerelegioen ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดว่าคนผิวขาวเหนือกว่าผู้อื่น

แอฟริกาใต้ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขคดีอาชญากรรมโดยแบ่งแยกตามเชื้อชาติ และตัวเลขล่าสุดที่เปิดเผยออกมาชี้ว่า มีผู้ตกเป็นเหยื่อการฆาตกรรม 6,953 คน ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564 โดย 12 คนในจำนวนนี้ถูกสังหารในการโจมตีฟาร์ม และมีเพียงคนเดียวที่เป็นชาวสวน ส่วนอีก 5 คนเป็นผู้อยู่อาศัย และ 4 คนเป็นลูกจ้างผิวดำ

...

ไซริล รามาฟอซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้
ไซริล รามาฟอซา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้

ทรัมป์อ้างว่าอะไรบ้าง?

นายทรัมป์อ้างเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเหตุผลปกป้องการรับผู้ลี้ภัยชาวอาฟริกาเนอร์ของเขา โดยระบุว่าชาวสวนผิวขาวกำลังถูกเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายและที่ดินของพวกเขาก็ถูกยึดเอาไป

แต่นายรามาฟอซายืนยันว่า คำกล่าวอ้างที่ว่าคนจากเผ่าพันธุ์หรือวัฒนธรรมหนึ่งกำลังตกเป็นเป้าหมายของข่มเหงรังแกนั้น ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง และว่าการที่ชาวอาฟริกาเนอร์กลุ่มนั้นอพยพไปสหรัฐฯ ก็เพราะไม่อยากยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศและรัฐธรรมนูญแอฟริกาใต้ ซึ่งก็คือการบังคับใช้กฎหมายเวนคืนที่ดิน

ในการพบกันที่ทำเนียบขาว นายทรัมป์ลอบโจมตีนายรามาฟอซาด้วยการเปิดวิดีโอที่เขาอ้างว่าเป็นหลักฐานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยเป็นภาพแสดงให้เห็นผู้นำการเมืองฝ่ายค้านร้องเพลงที่มีเนื้อหากระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงกับชาวแอฟริกันผิวขาว แต่นายรามาฟอซายังคงใจเย็น และยืนยันกับนายทรัมป์ว่า นี่ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล พร้อมกับประณามสิ่งที่เห็นในวิดีโอ

นายทรัมป์ยังให้นายรามาฟอซาดูภาพและข่าวการฆาตกรรมคนผิวขาว ทำให้ผู้นำแอฟริกาใต้กล่าวย้ำเตือนนายทรัมป์ว่า อาชญากรรมแบบนี้เกิดขึ้นกับคนทุกเชื้อชาติ

ก่อนเดินทางกลับ นายรามาฟอซาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาคิดว่าการพบปะกันครั้งนี้เป็นไปด้วยดี และว่านายทรัมป์ยังคงกังขาว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กำลังเกิดขึ้นหรือไม่ โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าควรไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำชาติ G20 หรือไม่ เนื่องจากปีนี้จัดขึ้นในแอฟริกาใต้

ด้านรัฐบาลแอฟริกาใต้ยืนยันว่าไม่มีการยึดที่ดินไปจากชาวสวนผิวขาว ภายใต้กฎหมายเวนคืนที่ดินซึ่งเพิ่งบังคับใช้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยย้ำว่า กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการไล่ที่ ที่ชาวแอฟริกันผิวดำเผชิญในยุคการปกครองของรัฐบาลอาฟริกาเนอร์

แต่กฎหมายฉบับนี้ถูกต่อต้านจากหลายฝ่าย รวมถึงพรรคพันธมิตรประชาธิปไตย (DA) ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลแอฟริกาใต้ ขณะที่นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจระดับโลก ซึ่งเกิดที่แอฟริกาใต้อ้างว่าระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตดาวเทียม “สตาร์ลิงก์” (Starlink) ของเขาให้บริการในประเทศนี้ไม่ได้เพราะเขาไม่ใช่คนดำ

ทั้งนี้ การที่สตาร์ลิงก์จะให้บริการในแอฟริกาใต้ได้นั้น ต้องได้รับใบอนุญาตให้บริการและเครือข่ายก่อน ซึ่งตามกฎหมายมีเงื่อนไขว่า ความเป็นเจ้าของการให้บริการและเครือข่าย 30% ต้องเป็นของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในประวัติศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่คือชาวแอฟริกันผิวดำ ที่ถูกตัดขาดจากเศรษฐกิจในยุคการแบ่งแยกสีผิว

อย่างไรก็ตาม สำนักงานคมนาคมอิสระแห่งแอฟริกาใต้ (ICASA) ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบภาคโทรคมนาคมและกระจายภาพและเสียง เปิดเผยว่า สตาร์ลิงก์ไม่เคยยื่นเอกสารของใบอนุญาตประกอบการเลย

...

วิดีโอนักการเมืองร้องเพลงขู่ยิงชาวสวนผิวขาวในแอฟริกาใต้ ที่นายทรัมป์เปิดให้นายรามาฟอซาดู
วิดีโอนักการเมืองร้องเพลงขู่ยิงชาวสวนผิวขาวในแอฟริกาใต้ ที่นายทรัมป์เปิดให้นายรามาฟอซาดู

นักการเมืองร้องเพลงขู่ยิงคนขาว

นายอีลอน มัสก์ ยังกล่าวหาพรรคนักสู้เพื่อเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (EFF) พรรคใหญ่อันดับ 4 ของแอฟริกาใต้ว่า ส่งเสริมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนขาวผ่านเพลงปลุกปั่นที่พวกเขาร้องในงานหาเสียง

เพลงที่นายมัสก์พูดถึงมีชื่อว่า “ยิงพวกโบเออร์ ยิงพวกชาวสวน” ซึ่งเป็นเพลงที่นาย จูเลียส มาเลมา หัวหน้าพรรค EFF ร้องเป็นประจำในการหาเสียงของเขา ซึ่งกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ฝ่ายชาวอาฟริกาเนอร์พยายามฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้สั่งห้ามร้องเพลงนี้ เนื่องจากเป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรงและทำให้เกิดการใช้คำพูดสร้างความเกลียดชัง

แต่ศาลอุทธรณ์สูงสุดของแอฟริกาใต้ตัดสินว่า นายมาเลมามีสิทธิ์ร้องเพลงนี้ในการหาเสียงได้ โดยให้เหตุผลว่า ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างเป็นเหตุเป็นผล จะเข้าใจว่าเมื่อเพลงประท้วงนี้ถูกร้อง รวมถึงการร้องโดยนักการเมือง คำเหล่านั้นไม่มีเจตนาให้เข้าใจไปตามนั้นจริงๆ และการทำท่ายิงปืนก็ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องให้มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงจริงๆ

กลุ่ม AfriForum พยายามยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด แต่ศาลไม่รับคำร้อง เนื่องจากมองว่า มีโอกาสอุทธรณ์สำเร็จน้อยมาก

ในปี 2566 นายทาโบ อึมเบกี อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เรียกร้องให้นายมาเลมาเลิกร้องเพลงนี้ เนื่องจากไม่มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองแล้ว เพราะว่าความเคลื่อนไหวต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวนั้นสิ้นสุดลงไปแล้ว ขณะที่พรรค ANC ระบุว่า พวกเขาเลิกร้องเพลงนี้แล้ว แต่ไม่สามารถสั่งให้พรรคอื่นหยุดร้องเพลงได้

...

อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ผู้เกิดที่แอฟริกาใต้
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ผู้เกิดที่แอฟริกาใต้

คนขาวถูกกีดกันในแอฟริกาใต้?

ถึงแม้ว่าการปกครองของชนกลุ่มน้อยผิวขาวในแอฟริกาใต้จะจบลงไปแล้วในปี 2537 แต่ผลกระทบของมันยังคงส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ เห็นได้จากมาตรฐานการครองชีพของคนผิวขาวโดยเฉลี่ย ที่สูงกว่าคนผิวดำมาก

คนขาวครอบครองตำแหน่งงานบริหารระดับสูงถึง 62.1% แม้พวกเขาจะมีประชากรวัยทำงานเพียง 7.7% ของคนวัยทำงานทั้งหมดในแอฟริกาใต้ ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ผ่าน “กฎหมายความเท่าเทียมในการให้อำนาจทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน” ซึ่งกำหนดให้บริษัทต่างๆ เพิ่มลูกจ้างที่ไม่ใช่คนผิวขาวมากขึ้น

กฎหมายนี้ได้รับการต้อนรับจากชาวแอฟริกันจำนวนมาก แต่ชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มกลับรู้สึกว่า พวกเขาหางานและทำสัญญากับรัฐบาลยากขึ้น นอกจากนั้นยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎหมายนี้อาจนำไปสู่การคอร์รัปชัน เช่นการมอบโอกาสทางธุรกิจให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เป็นญาติพี่น้องกัน

พรรคพันธมิตรประชาธิปไตย (DA) ก็เป็นหนึ่งในผู้วิจารณ์กฎหมายฉบับนี้ และกำลังอยู่ระหว่างการฟ้องศาลเพื่อคัดค้านการบังคับใช้กฎหมายที่พวกเขาระบุว่า ทำให้มีผู้ถูกลดความสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

นายไกย์ตัน แมคเคนซี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของแอฟริกาใต้ เพิ่งโดนโจมตีอย่างหนัก หลังประกาศรับสมัครพนักงานในกระทรวงเฉพาะประชาชนชาวผิวสี (Coloured), ชาวเอเชีย และคนขาวเท่านั้น โดยอ้างว่าทำตามกฎหมายความเท่าเทียมในการจ้างงาน เพราะหน่วยงานของเขามีแต่คนผิวดำ

ชาวอาฟริกาเนอร์ขอลี้ภัยในสหรัฐฯ
ชาวอาฟริกาเนอร์ขอลี้ภัยในสหรัฐฯ

ชาวอาฟริกาเนอร์อยากย้ายไปสหรัฐฯ?

กลุ่มฝ่ายขวาในสหรัฐฯ หลายกลุ่มอ้างว่า ชาวอาฟริกาเนอร์ต้องการอพยพมาสหรัฐฯ เพื่อหลบหนีจากการกีดกันทางเชื้อชาติ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่

เมื่อเดือนมีนาคม กลุ่มธุรกิจกลุ่มหนึ่งระบุว่ามีชาวอาฟริกาเนอร์จำนวนเกือบ 70,000 คนจากประชากรทั้งหมด 2.5 ล้านคน ที่แสดงความสนใจอยากย้ายไปอยู่สหรัฐฯ ตามข้อเสนอให้ลี้ภัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ต่อมาสถานทูตสหรัฐฯ ในแอฟริกาใต้ต้องออกแถลงการณ์แสดงความชัดเจนเรื่องเกณฑ์การย้ายถิ่นฐาน โดยระบุว่าข้อเสนอของนายทรัมป์ครอบคลุมคนทุกเชื้อชาติ ไม่ใช่แค่ชาวอาฟริกาเนอร์

การสำรวจสำมะโนประชากรล่าสุดของแอฟริกาใต้ ซึ่งจัดทำในปี 2565 ชี้ว่า ชาวผิวสี หรือ Coloured ซึ่งเป็นคำอย่างเป็นทางการสำหรับเรียกกลุ่มประชากรที่มีเชื้อชาติผสม เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็น 8% ของประชากรทั้งหมด ตามด้วยชาวอาฟริกาเนอร์ที่ 7% และชาวเอเชีย 3%

หลังจากนายทรัมป์เสนอรับผู้อพยพจากแอฟริกาใต้ กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ของชาวอาฟริกาเนอร์อย่างกลุ่ม “Solidarity” ก็โพสต์บทความลงบนเว็บไซต์ของตัวเองโดยพาดหัวว่า “10 เหตุผลเชิงประวัติศาสตร์ที่ควรอยู่ในแอฟริกาใต้”

ขณะที่นายกอร์เน มุลเดอร์ หัวหน้าพรรคแนวหน้าเสรีภาพพลัส (FF+) กลุ่มฝ่ายขวาในแอฟริกาใต้ กล่าวในสภาว่า พวกเขามีพันธสัญญาต่อแอฟริกาใต้ “เราผูกพันกับแอฟริกาใต้ และจะสร้างอนาคตเพื่อตัวของเราเองและลูกหลานของเราที่นี่”





ที่มา : bbcabcnews