รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแนวทางใหม่ในการอนุมัติวัคซีนโควิด-19 สำหรับฤดูกาลนี้ โดยจะจำกัดการให้วัคซีนเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ขณะที่ประชาชนกลุ่มทั่วไปจะต้องรอพิจารณาเพิ่มเติมก่อนจะได้รับวัคซีน

สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA เปิดเผยผ่านวารสาร New England Journal of Medicine ว่าจะเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มเด็กหรือผู้ใหญ่อายุน้อยที่มีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น โรคประจำตัวเรื้อรัง แต่สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีทั่วไป จะต้องรอพิจารณาขออนุมัติใช้วัคซีนเวอร์ชันอัปเดตได้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวทางเดิมที่แนะนำให้คนอเมริกันทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ฉีดวัคซีนโควิดทุกปี

ดร. วินัย ปราสาท เจ้าหน้าที่วัคซีนคนใหม่ของ FDA กล่าวว่า การปรับแนวทางนี้เป็น "ทางสายกลางที่เหมาะสม" เพื่อให้กลุ่มเสี่ยงยังสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้มีการศึกษาว่า กลุ่มคนทั่วไปยังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนรอบที่ 7, 8, 9 หรือ 10 หรือไม่ โดยเขากล่าวว่าระบบฉีดวัคซีนแบบเดียวกันกับทุกคน ไม่สอดคล้องกับข้อมูลใหม่

อย่างไรก็ตาม แนวทางใหม่นี้สร้างความกังวลว่าจะทำให้ประชาชนกลุ่มอื่นไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยเฉพาะหากไม่มีข้อกำหนดชัดเจนว่ากลุ่มใดเข้าข่ายเสี่ยงสูง

ด้านสมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐฯ (American Academy of Pediatrics) ออกมาเตือนว่า แนวทางใหม่นี้ อาจลดทางเลือกสำหรับครอบครัวที่ต้องการปกป้องลูกจากโควิด-19 โดยเฉพาะครอบครัวที่เผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพอยู่แล้ว

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค  หรือ CDC ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโควิดมากกว่า 47,000 ราย โดย 2 ใน 3 เสียชีวิตจากไวรัสโดยตรง ที่เหลือเป็นปัจจัยร่วม ในจำนวนนี้รวมถึงเด็ก 231 คน ที่เสียชีวิตจากโควิด โดย 134 คน เสียชีวิตจากไวรัสเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งตัวเลขใกล้เคียงกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในเด็กประจำปี

...

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ เคยแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนโควิดเป็นประจำทุกปี เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ โดย FDA เคยอนุมัติวัคซีนโควิดเวอร์ชันใหม่ทุกปี หากสามารถแสดงผลภูมิคุ้มกันใกล้เคียงเวอร์ชันเดิมได้ แต่แนวทางใหม่นี้ทำให้นโยบายวัคซีนโควิดของสหรัฐฯ กำลังถูกทบทวนใหม่ทั้งหมด โดยมุ่งเน้นการป้องกันกลุ่มเสี่ยง และ ลดการใช้วัคซีนในวงกว้างโดยไม่มีข้อมูลรองรับ ซึ่งแม้ประชาชนบางกลุ่มอาจเห็นว่านี่คือความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย แต่สำหรับนักวิชาการด้านสาธารณสุขหลายคน การลดการเข้าถึงวัคซีนอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในการป้องกันโรคได้เช่นกัน.

ที่มา : AP

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ โควิด