นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าที่น่าพอใจในการเจรจาการค้ากับประเทศในเอเชียหลายประเทศ โดยมีการกล่าวถึงประเทศไทย

นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าที่น่าพอใจในการเจรจาการค้ากับประเทศในเอเชียหลายประเทศ โดยมีการกล่าวถึงประเทศไทย

เบสเซนต์กล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าวในการประชุมด้านการลงทุนซาอุดีอาระเบีย-สหรัฐฯ ที่กรุงริยาด โดยได้กล่าวถึงการเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ ในเอเชีย เขากล่าวว่า "ผมมุ่งเน้นไปที่ข้อตกลงในเอเชีย ซึ่งจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดอย่างเห็นได้ชัด เรามีการหารือที่มีประสิทธิผลมากกับญี่ปุ่น" เขากล่าวต่อว่าอินโดนีเซีย "พร้อมมาก" และตั้งข้อสังเกตว่าไต้หวันได้เสนอข้อเสนอ "ที่ดีมาก" รวมถึงประเทศไทยเช่นกัน "ดังนั้น ในด้านของผม ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี" 

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ และจีนประกาศข้อตกลงที่จะลดภาษีชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ภายหลังการเจรจาที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้ข้อตกลงนี้ ภาษีของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนจะลดลงเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่ 145 เปอร์เซ็นต์ เริ่มตั้งแต่วันพุธ ขณะที่ภาษีของจีนต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์จาก 125 เปอร์เซ็นต์

เบสเซนท์กล่าวว่าระหว่างการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน ได้สร้าง "กลไกเจนีวา" ขึ้นเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างสองมหาอำนาจ "ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือ หลังจากสุดสัปดาห์นี้ เรามีกลไกที่จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับความรุนแรงเหมือนที่เคยมีมาก่อน"

เขายังเน้นย้ำด้วยว่าสหรัฐฯ ต้องการการแยกตัวจากจีนใน "อุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์" "ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า เราไม่ต้องการการแยกตัวโดยทั่วไประหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

...

"สิ่งที่เราต้องการคือสหรัฐฯ จะแยกตัวในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเราเห็นระหว่างโควิด-19 ว่าเราไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นยา เซมิคอนดักเตอร์ หรือพื้นที่เชิงกลยุทธ์อื่นๆ ดังนั้น สหรัฐฯ จะนำอุตสาหกรรมเหล่านั้นกลับประเทศ"

ในการทำงานร่วมกับสหภาพยุโรป เบสเซนต์ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าปัญหา "การดำเนินการร่วมกัน" ในยุโรป "ผมคิดว่าสหรัฐฯ และยุโรปอาจจะช้าลงเล็กน้อย ความเชื่อส่วนตัวของผมคือยุโรปอาจมีปัญหาการดำเนินการร่วมกัน"

"ชาวอิตาเลียนต้องการสิ่งที่แตกต่างจากชาวฝรั่งเศส แต่ผมแน่ใจว่าในที่สุดแล้ว เราจะได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ".

ที่มา The Korea Times

อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign