โรดริโก ดูเตร์เต ชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาอีกสมัย แม้ตัวเขาจะถูกควบคุมตัวที่กรุงเฮก ขณะที่ลูกสาวของเขากำลังรอลุ้นผลเลือกตั้ง สว.ซึ่งพัวพันกับการถอดถอนเธอออกจากตำแหน่ง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 12 พ.ค. 2568 ว่า นายโรดริโก ดูเตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ที่ตอนนี้กำลังถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำที่กรุงเฮก จากการทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันศพระหว่างทำสงครามยาเสพติด ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเขาอีกสมัย ในการเลือกตั้งกลางเทอมของฟิลิปปินส์

ดูเตร์เตถูกจับกุมและส่งตัวไปยังศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ในการทำสงครามยาเสพติดของเขาสมัยเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้สนับสนุนเขาพร้อมใจกันเทคะแนนให้เขาในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าดูเตร์เตจะสาบานตนรับตำแหน่งอย่างไร โดย ซารา ดูเตร์เต ลูกสาวของเขาเผยว่า ตอนนี้กำลังมีการหารือกันระหว่างทนายความของเขาที่ ICC กับนายความชาวฟิลิปปินส์ แต่คาดกันว่าลูกชายของเขาคือ เซบาสเตียน ซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับเลือกเป็นรองนายกเทศมนตรี จะปฏิบัติหน้าที่แทนไปก่อน

ขณะที่ผู้ช่วยคนสนิทที่สุด 2 คนของนายดูเตร์เตได้แก่ คริสโตเปอร์ “บอง” โก กับนาย โรนัลด์ “บาโต” เดลา โรซา ผู้เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจควบคุมการทำสงครามกับยาเสพติดของนายดูเตร์เต ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีกสมัย

ทั้งนี้ การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งล่าสุดของฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการโหวตเลือกเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 18,000 ตำแหน่ง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไปจนถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และสมาชิกวุฒิสภา กลายเป็นเหมือนสงครามตัวแทนระหว่างตระกูลดูเตร์เตกับตระกูลมาร์กอส

...

ตอนนี้ชะตากรรมของนาง ซารา ดูเตร์เต ลูกสาวของนายดูเตร์เตยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากเธอถูกฟ้องร้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี เนื่องจากขู่ฆ่าประธานาธิบดี และเธออาจถูกแบนจากการเล่นการเมืองและหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2571 หากสมาชิกวุฒิสภาลงมติว่าเธอมีความผิดจริง

ฝ่ายดูเตร์เตต้องการได้ สว.เพิ่มอีก 9 คน ซึ่งจะทำให้ ซารา ดูเตร์เต รอดพ้นจากการถูกถอดถอน แต่ตอนนี้การนับคะแนนอยู่ที่เพียง 68% ทำให้ยังบอกไม่ได้ว่าผลลัพธ์จะออกไปทางใด

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : the guardian