เพียง 2 สัปดาห์หลังจากกลุ่มก่อการร้ายโจมตีนักท่องเที่ยวในดินแดนแคชเมียร์ที่อินเดียปกครอง จนมีผู้เสียชีวิตหลายราย อินเดียได้เริ่มการโจมตีสถานที่ต่างๆ ในปากีสถานและดินแดนแคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง
กระทรวงกลาโหมอินเดียกล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า "ปฏิบัติการซินดูร์" (Operation Sindoor) เป็นส่วนหนึ่งของ "ความรับผิดชอบ" ในการจับผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 22 เมษายน ซึ่งทำให้ชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาล 1 คน เสียชีวิต มาลงโทษ
แต่ปากีสถานซึ่งปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีเมื่อเดือนที่แล้ว ได้อธิบายการโจมตีดังกล่าวว่า เป็นการโจมตีที่ "ปราศจากเหตุผล" โดยนายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ กล่าวว่า "การรุกรานที่โหดร้ายนี้จะต้องถูกลงโทษ"
แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และอินเดียและปากีสถานมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
อินเดียโจมตีที่ไหน
ทางการอินเดียกล่าวในช่วงเช้าตรู่ของวันพุธ (7 พ.ค.) ว่าสถานที่ต่างๆ 9 แห่งถูกโจมตีทั้งในดินแดนแคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครองและปากีสถาน รายงานระบุว่าสถานที่เหล่านี้เป็น "โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย" ซึ่งเป็นสถานที่ที่ "วางแผนและกำหนดทิศทางการโจมตี"
รายงานเน้นย้ำว่าไม่ได้โจมตีฐานทัพทหารปากีสถานแห่งใด และระบุว่า "การกระทำของกองทัพมีเป้าหมาย รอบคอบ และไม่ลุกลามบานปลาย"
ปากีสถานระบุว่า พื้นที่ 3 แห่งได้รับผลกระทบ ได้แก่ เมืองมูซัฟฟาราบาดและคอตลี ดินแดนในแคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง และเมืองบาฮาวัลปูร์ในแคว้นปัญจาบของปากีสถาน
นายคาวาจา อาซิฟ รัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน กล่าวกับ GeoTV ว่า การโจมตีดังกล่าวโจมตีพื้นที่พลเรือน และเสริมว่าคำกล่าวอ้างของอินเดียที่ว่า "โจมตีค่ายผู้ก่อการร้าย" นั้นเป็นเท็จ
...
อาเหม็ด ชารีฟ โฆษกกองทัพปากีสถาน กล่าวในเวลาต่อมาว่า มีผู้เสียชีวิต 7 ศพ รวมถึงเด็ก 2 ราย จากการโจมตีดังกล่าว
เหตุใดอินเดียจึงเปิดฉากโจมตี?
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งต่างครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์จากเหตุยิงกันในเมืองพาฮาลกัม เมืองตากอากาศชื่อดังในอินเดีย
การโจมตีเมื่อวันที่ 22 เมษายน โดยกลุ่มก่อการร้ายทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย โดยผู้รอดชีวิตกล่าวว่ากลุ่มก่อการร้ายได้เลือกโจมตีชายชาวฮินดูซึ่งถือเป็นการโจมตีพลเรือนครั้งเลวร้ายที่สุดในภูมิภาคในรอบ 2 ทศวรรษ และจุดชนวนความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในอินเดีย
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี กล่าวว่าอินเดียจะตามล่าผู้ต้องสงสัย "ไปจนสุดขอบโลก" และผู้ที่วางแผนและลงมือก่อเหตุ "จะต้องถูกลงโทษเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้"
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังไม่ได้เปิดเผยชื่อกลุ่มที่สงสัยว่าเป็นผู้ลงมือโจมตีที่เมืองพาฮาลกัม และยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้ลงมือ
แต่ตำรวจอินเดียกล่าวหาว่าผู้โจมตี 2 รายเป็นชาวปากีสถาน โดยรัฐบาลอินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และระบุว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีเมื่อวันที่ 22 เมษายน
ในช่วง 2 สัปดาห์นับจากนั้น ทั้งสองประเทศได้ใช้มาตรการตอบโต้ซึ่งกันและกัน รวมถึงการขับไล่นักการทูต ระงับวีซ่า และการปิดจุดผ่านแดน
หลายคนคาดว่าสถานการณ์จะบานปลายไปถึงขั้นเป็นการโจมตีข้ามพรมแดน ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์โจมตีที่เมืองปูลวามา ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่กึ่งทหารของอินเดียเสียชีวิต 40 นาย ในปี 2019
ทำไมแคชเมียร์จึงกลายเป็นจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน
อินเดียและปากีสถานต่างก็อ้างสิทธิ์ในดินแดนแคชเมียร์ทั้งหมด แต่ถูกควบคุมโดยแต่ละฝ่ายเพียงบางส่วน เนื่องจากทั้งสองประเทศถูกแบ่งแยกออกจากกันหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1947 ทำให้ทั้งสองประเทศทำสงครามกันถึงสองครั้งเพราะประเด็นนี้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มก่อการร้ายได้โจมตีทั้งสองประเทศจนเกือบถึงจุดวิกฤต แคชเมียร์ที่อินเดียปกครองต้องเผชิญกับการก่อกบฏติดอาวุธต่อต้านการปกครองของอินเดียตั้งแต่ปี 1989 โดยกลุ่มก่อการร้ายได้โจมตีกองกำลังรักษาความปลอดภัยและพลเรือนเช่นกัน นับเป็นการโจมตีพลเรือนครั้งใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่อินเดียเพิกถอนมาตรา 370 ที่ให้แคชเมียร์เป็นเขตปกครองตนเองกึ่งหนึ่งในปี 2019
หลังจากการตัดสินใจดังกล่าว ได้เกิดการประท้วงในภูมิภาคนี้หลายครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่ากลุ่มก่อการร้ายลดน้อยลง และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในปี 2016 หลังจากทหารอินเดีย 19 นาย เสียชีวิตในเมืองอูรี อินเดียได้เปิดฉาก "โจมตีทางอากาศ" ข้ามเส้นควบคุม ซึ่งเป็นพรมแดนโดยพฤตินัยระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยโจมตีฐานทัพของกลุ่มก่อการร้าย
ในปี 2019 เหตุระเบิดที่เมืองปูลวามา ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่กึ่งทหารอินเดียเสียชีวิต 40 นาย ทำให้เกิดการโจมตีทางอากาศในเมืองบาลาโกต ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งแรกในปากีสถานนับตั้งแต่ปี 1971 ทำให้เกิดการโจมตีตอบโต้และการต่อสู้ทางอากาศ
แม้ทั้งสองเหตุการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย แต่ทั่วโลกยังคงตื่นตัวต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลายประเทศและนักการทูตทั่วโลกพยายามหยุดยั้งสถานการณ์ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้ใช้ "ความอดทนอดกลั้นสูงสุด" ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาหวังว่าการสู้รบ "จะยุติลงโดยเร็ว"
...
ที่มา BBC
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign