โดนัลด์ ทรัมป์ จัดการหาเสียงที่รัฐมิชิแกน เพื่อฉลองครบรอบ 100 วันของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 โดยมิชิแกนเป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของเขามากที่สุด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ฉลองการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบ 2 ครบ 100 วัน ด้วยการจัดการหาเสียงที่รัฐมิชิแกน ในวันอังคารที่ 29 เม.ย. 2568 นับเป็นงานอีเวนต์ทางการเมืองขนาดใหญ่ที่สุดของเขานับตั้งแต่กลับมาครองทำเนียบขาว ในรัฐที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของเขาหนักเป็นพิเศษ
นายทรัมป์เดินทางเยือน “เซลฟริดจ์” ฐานทัพอากาศของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิในช่วงบ่ายวันอังคาร พร้อมกับนาย เกรตเชน วิตเมอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกนซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต จากนั้นนายทรัมป์จึงไปกล่าวปราศรัยต่อหน้าผู้สนับสนุนที่วิทยาลัยชุมชน “มาคอมบ์” (Macomb) ทางเหนือของเมืองดีทรอยต์
นายทรัมป์เริ่มต้นการปราศรัยด้วยการขอบคุณแรงงานผู้ผลิตรถยนต์ในมิชิแกนที่สนับสนุนเขา ก่อนจะพูดต่อว่าเขาดีใจที่ได้กลับมายังใจกลางของประเทศ เพื่อฉลอง 100 วันที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยนายทรัมป์เสริมด้วยว่าใครๆ ก็บอกว่า 100 วันแรกคือช่วงที่ประสบความสำเร็จที่สุด แต่ “เราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
นายทรัมป์ยังกล่าวถึงนโยบายสำคัญของเขาหลายอย่าง รวมถึงเรื่องผู้อพยพและปัญหาด้านวัฒนธรรมต่างๆ และว่าเขากำลังนำความบ้าโวค (lunacy) กับอุดมการณ์ข้ามเพศ (transgender ideology) ออกไปจากรัฐบาลของสหรัฐฯ เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ชม
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บรรยาย 100 วันแรกในการทำงานสมัยที่ 2 ของเขาว่าเป็น “การปฏิวัติสามัญสำนึก” พร้อมเรียกร้องให้รีพับลิกันสนับสนุนแผนงบประมาณของเขา ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนโหวตสมาชิกรีพับลิกันที่ไม่สนับสนุนเขาออกไปจากตำแหน่งในรัฐบาล
...
นายทรัมป์สัญญาว่าเขาจะให้ความสำคัญกับมิชิแกนก่อน แทนที่จะเป็นจีนเหมือนที่รัฐบาลชุดก่อนทำ และว่าข้าราชการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งซึ่งกำลังขโมยค่าแรงของชาวมิชิแกน จะถูกไล่ออกจากรัฐบาลของเขา
จากนั้น นายทรัมป์หันไปโจมตีนโยบายผู้อพยพของรัฐบาลโจ ไบเดน โดยกล่าวหาไบเดนว่าปล่อยให้ผู้อพยพเข้ามาข่มขืนและฆาตกรรมชาวอเมริกัน แต่การทรยศอันชั่วร้ายนั้นได้จบลงแล้ว ตอนนี้รัฐบาลของเขากำลังรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน และทำให้มีผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ จนแม้แต่สื่อข่าวปลอมยังรายงาน
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาเดโมแครตอีกครั้งว่าพยายามโกงเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้เหมือนกับที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน แต่ไม่สำเร็จ และพูดย้ำเรื่องการยุติการให้สัญชาติแต่กำเนิดแก่ผู้อพยพเข้าประเทศหรือมีเหตุให้ต้องอยู่ในสหรัฐฯ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องชี้ขาดกันในศาล และผู้เชี่ยวชาญมองว่า นายทรัมป์อาจทำไม่สำเร็จ
ผู้นำสหรัฐฯ พูดต่อเรื่องที่ศาลพยายามขัดขวางเขาไม่ให้เนรเทศ “คนเลว” ออกจากประเทศ และว่าเดโมแครตอนุญาตให้มีการอพยพเข้าเมืองครั้งใหญ่ แต่พวกเขากำลังทำการเนรเทศครั้งใหญ่ และพวกที่เลวร้ายที่สุดจะถูกส่งไปยังเรือนจำที่เอลซัลวาดอร์ พร้อมกับเปิดวิดีโอแสดงให้เห็นผู้อพยพในสภาพนักโทษกำลังถูกส่งตัวออกจากสหรัฐฯ
นายทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการภาษีของเขาจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ แข็งแกร่ง และเขาจะทำข้อตกลงกับจีน
“เราจะไปกันได้ดีกับจีน” นายทรัมป์กล่าว “ผมคิดว่ามันจะไปได้สวย พวกเขาต้องการทำข้อตกลง เราจะทำข้อตกลง มันจะเป็นข้อตกลงที่เป็นธรรม”
ทั้งนี้ ในช่วง 100 วันหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นโยบายผู้อพยพที่เข้มงวดมากของเขาทำให้การลักลอบข้ามชายแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโกลดลงอย่างมาก ขณะที่ความพยายามลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง นำโดยนาย อีลอน มัสก์ ได้สั่นสะเทือนรัฐบาลไปถึงแก่น มีลูกจ้างรัฐถูกปลดไปแล้วหลายหมื่นคน
นายทรัมป์ยังบังคับใช้กำแพงภาษีต่อสินค้าที่นำเข้ามาจากทั่วโลก ตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ เพื่อทางจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ที่สหรัฐฯ เองเป็นผู้สร้างขึ้นหลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ไม่เพียงเท่านั้น นายทรัมป์ยังแสดงความต้องการที่จะขยายดินแดนของสหรัฐฯ ออกไป โดยไม่ปฏิเสธการใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์และช่องแคบปานามา เสนอให้สหรัฐฯ เข้ายึดครองฉนวนกาซาแล้วเปลี่ยนเป็นรีสอร์ท และพูดย้ำเรื่องการควบรวมประเทศแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ
“ผมบริหารประเทศนี้และโลกใบนี้” นายทรัมป์บอกกับนิตยสารข่าว ดิ แอตแลนติก “ผมคิดว่าผมกำลังทำให้สิ่งที่ผมได้หาเสียงเอาไว้”
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดชี้ว่า มีชาวอเมริกันเพียง 4 ใน 10 ที่ยอมรับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และอัตราการยอมรับของเขาในเรื่องเศรษฐกิจและการค้าก็ลดต่ำลง แม้แต่การยอมรับในนโยบายผู้อพยพซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้ง ก็ลดลงเหลือ 46% โดยชาวอเมริกันเกินครึ่งมองว่าเข้มเกินไปที่เนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มีชาวอเมริกันเพียง 33% เท่านั้นที่มีมุมมองเชิงบวกต่อนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท เทสลา และบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และชาวอเมริกันเกินครึ่งมองว่ารัฐบาลทำเกินไปที่ไล่ปลดลูกจ้างรัฐบาลกลางจำนวนมาก
รัฐมิชิแกนเป็นหนึ่งในรัฐที่เปลี่ยนขั้วจากที่เคยสนับสนุนฝ่ายเดโมแครตเมื่อการเลือกตั้งครั้งก่อน มาสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สังกัดพรรครีพับลิกัน แต่รัฐแห่งนี้กลับได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีที่พวกเขาเลือก รวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตนอกประเทศ
อัตราว่างงานในรัฐมิชิแกนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน โดยกระโดดจาก 4.2% ในเดือนมีนาคมเป็น 5.5% ในเดือนเมษายน ทำให้มิชิแกนกลายเป็นหนึ่งในรัฐที่มีอัตราว่างงานสูงที่สุดในสหรัฐฯ มากเกินกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 4.2%
...
บริษัท สเตลแลนติส (Stellantis) ผู้ผลิตรถยนต์ข้ามชาติต้องหยุดการผลิตที่โรงงานในแคนาดาและเม็กซิโก หลังจากนายทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีรถยนต์นำเข้าในอัตรา 25% และเลย์ออฟพนักงานในสหรัฐฯ ชั่วคราวจำนวน 900 คน ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการเก็บภาษีชิ้นส่วนรถยนต์ โดยเตือนว่าจะทำให้ราคารถพุ่งสูงขึ้น จนทำให้เกิดการปลดพนักงานและการล้มละลาย
ล่าสุดรัฐบาลทรัมป์ส่งสัญญาณว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายครั้งใหญ่ โดย น.ส.แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวเมื่อเช้าวันอังคารว่า นายทรัมป์จะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อผ่อนคลายมาตรการภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของเขาลงในระดับหนึ่ง
ขณะที่นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า เป้าหมายของนโยบายยังคงเดิมคือ การให้ผู้ผลิตรถยนต์มาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ มากขึ้น “นายทรัมป์เป็นห่วงงานในอนาคตไม่ใช่ในอดีต”
ชาวรัฐมิชิแกนหลายคนก็แสดงท่าทีสนับสนุนมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ เช่นนางแคโรลีน มาร์ตซ์ วัย 61 ปี โดยกล่าวว่า เธอต้องการเห็นของต่างๆ ผลิตในอเมริกา โดยชาวอเมริกัน และเพื่ออเมริกามากขึ้น และเธอเชื่อว่ามาตรการภาษีจะสามารถกระตุ้นการผลิตในสหรัฐฯ ได้ และการที่ราคาสินค้าสูงขึ้นในช่วงแรกก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนนั้น
อนึ่ง มิชิแกนจะเป็นรัฐสำคัญสำหรับรีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2569 เนื่องจากพวกเขาต้องการชิงเก้าอี้วุฒิสมาชิกจากรัฐนี้ให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ นอกจากนั้นรีพับลิกันยังต้องการชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ เนื่องจากนายวิตเมอร์ดำรงตำแหน่งครบ 2 วาระแล้ว ไม่สามารถลงชิงชัยได้อีก
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
...
ที่มา : apnews