• ตลาดหุ้นเอเชียทรุดตัวรุนแรง ผลจากมาตรการภาษีของทรัมป์ โดยนักวิเคราะห์มองว่า การตัดสินใจของทรัมป์เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดมายังประเทศพันธมิตรในเอเชีย
  • นักวิเคราะห์เตือนว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งสัญญาณที่ผิดพลาด ไปยังประเทศพันธมิตรในเอเชีย และสร้างความปั่นป่วนต่อระบบการค้าระหว่างประเทศ
  • ตลาดหุ้นเอเชียดิ่งลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ หลังจากตลาดวอลล์สตรีทในสหรัฐฯ ทรุดตัวลงติดต่อกันสองวันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทรัมป์ยืนกรานว่าจะไม่ถอยจากแผนเก็บภาษีนำเข้าที่เขาประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับการค้าทั่วโลก

ความเห็นจากนักวิเคราะห์

รินทาโร นิชิมูระ นักวิเคราะห์จาก The Asia Group กล่าวว่าการยืนยันแนวทางที่สื่อออกมาว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินอยู่ลำพัง เป็นสัญญาณที่ผิดพลาด เพราะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ จะมองเรื่องนี้ในแง่ลบอย่างมาก

นิชิมูระยังแสดงความกังวลว่าสถานการณ์นี้น่าห่วงมาก เพราะมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เพราะยังไม่ชัดเจนว่า ทรัมป์ทำแบบนี้เพื่อจะแก้ปัญหาดุลการค้าเพียงอย่างเดียว หรือมีเป้าหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย

พอล พง นักวิเคราะห์ตลาดและผู้จัดการกองทุนอาวุโส กล่าวว่า หากทรัมป์และทีมของเขายังเดินหน้าในเส้นทางนี้ ความเสียหายจะรุนแรงยิ่งขึ้น เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น

...

ด้านดร.วิชัย ปราสาท  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย Tricontinental Institute for Social Research ให้สัมภาษณ์กับ CGTN ว่า มาตรการภาษีที่รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จริง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวได้

ดร.วิชัยให้ความเห็นว่า กลไกของนโยบายนี้อาจฟังดูดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว สหรัฐฯ ไม่มีความพร้อมด้านการลงทุนและกำลังการผลิตเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการจำกัดสินค้านำเข้า ในเมื่อไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ใครจะมาลงทุนผลิตสิ่งของเหล่านี้ในสหรัฐฯ และกลุ่มมหาเศรษฐีก็ไม่ได้แสดงความสนใจที่จะนำเงินมาลงทุนในภาคการผลิตจริง ๆ

นอกจากนี้ วิชัยยังชี้ให้เห็นว่า มาตรการภาษีเหล่านี้เกิดขึ้นในบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของตลาดผู้บริโภคอีกต่อไป และประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาค Global South หรือประเทศกำลังพัฒนาในซีกโลกใต้ ก็กำลังมองหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อีกแล้ว ดังนั้นผู้ที่จะเสียประโยชน์จากมาตรการนี้ก็คือสหรัฐฯเอง

เขายังแนะนำแนวทางแก้ปัญหานี้ด้วยว่า ในโลกนี้มีประชากรมากกว่า 7 พันล้านคน แต่สหรัฐฯ มีแค่ประมาณ 300 ล้านคนเท่านั้น ตลาดผู้บริโภคไม่ได้มีแค่ในอเมริกา ประเทศใน Global South ต้องหันมาค้าขายกันเองให้มากขึ้น นั่นคืออนาคตของระบบการค้าระหว่างประเทศ

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงหนัก

ตลาดหุ้นทั่วเอเชียทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในวันจันทร์ โดยดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ร่วงเกือบ 8% หลังเปิดตลาด และลดลง 6% ในช่วงกลางวัน ส่วนดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ดิ่งถึง 9.4% ดัชนี Shanghai Composite ของจีน ลดลง 6.2% และดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้ ลดลง 4.1%

โดยเฉพาะดัชนีฮ่องกงที่ร่วงลงถึง 9% ทันทีที่เปิดตลาด ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่รุนแรงผิดปกติ แม้ว่าตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีความผันผวนสูงกว่าตลาดอื่น ๆ ก็ตาม

ในขณะที่หลายประเทศกำลังหาทางตอบโต้ จีนและประเทศอื่น ๆ ก็ได้เริ่มใช้มาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วเช่นกัน

การเพิ่มภาษีนำเข้าของทรัมป์ถือเป็นการทำตามคำสัญญาในช่วงหาเสียง และเขายังใช้อำนาจฝ่ายบริหารในการดำเนินการโดยไม่ผ่านรัฐสภา เป้าหมายเพื่อร่างกติกาการค้าระหว่างประเทศขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เขายึดถือมานาน โดยเชื่อว่าข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่ผ่านมาไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ

ภาษีใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันพุธนี้ นับเป็นการเปิดยุคใหม่แห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยยังไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า เขาจะไม่ยอมถอยจากแผนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เว้นแต่ประเทศเหล่านั้นจะยอมปรับดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้สมดุล ซึ่งเป็นการสะท้อนจุดยืนที่แน่วแน่ของเขา แม้จะส่งผลให้ตลาดการเงินปั่นป่วน เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และทำลายความมั่นคงของระบบการค้าระหว่างประเทศ และจุดชนวนให้มีการชุมนุมประท้วงไปทั่วสหรัฐฯแล้วก็ตาม

แม้เจ้าหน้าที่ของทรัมป์จะพยายามลดความกังวลของตลาด โดยเปิดเผยว่ามีมากกว่า 50 ประเทศติดต่อมายังสหรัฐฯ เพื่อขอเจรจายกเลิกภาษี แต่นักลงทุนทั่วโลกยังจับตาดูท่าทีอย่างระมัดระวังต่อไป.

...

ผู้เขียน  : อาจุมมาโอปอล

ที่มา : เอพี , CGTN