อิสราเอลโจมตีเป้าหมายหลายสิบแห่งในเลบานอน หลังจากมีจรวดถูกยิงจากเลบานอนเข้าสู่อิสราเอลเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงเมื่อปลายปีก่อน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิสราเอลเปิดฉากโจมตีกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนอีกครั้ง และทำลายเครื่องยิงจรวดจำนวนหลายสิบเครื่อง พร้อมทำลายศูนย์บัญชาการอีก 1 แห่ง เมื่อ 22 มี.ค. 2568 หลังมีจรวดถูกยิงจากเลบานอนเข้าสู่อิสราเอลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงหยุดยิงร่วมกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567
กระทรวงสาธารณสุขของเลบานอนระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ หนึ่งในนั้นเป็นเด็ก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 8 คน โดยนายกรัฐมนตรีเลบานอนระบุว่า ประเทศของเขากำลังถูกลากเข้าสู่สงครามครั้งใหม่
ด้านกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ออกมาอ้างว่า พวกเขาไม่ได้ยิงจรวดเข้าใส่อิสราเอล และว่าพวกเขายังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงซึ่งยุติการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับอิสราเอล ซึ่งดำเนินต่อเนื่องนานถึง 14 เดือน
อย่างไรก็ตาม กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ระบุว่า พวกเขายิงสกัดจรวด 3 ลูกได้ที่เมืองเมตูลา ทางเหนือของประเทศ เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กองทัพเลบานอนก็ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขามีปฏิบัติการค้นหา และพบเครื่องยิงจรวดเก่า 3 เครื่อง และได้ทำลายพวกมันไปแล้ว หลังจากนั้น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์จึงออกแถลงการณ์ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงจรวดดังกล่าว และยืนยันว่าพวกเขายังปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
ทั้งนี้ การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์อยู่ในสภาพเปราะบางมาตลอด เพราะอิสราเอลยังคงโจมตีทางอากาศรายวันเข้าใส่เป้าหมายที่พวกเขาอ้างว่าเป็นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และมีข้อบ่งชี้ว่าการโจมตีจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ขณะที่ฝ่ายฮิซบอลเลาะห์ไม่ได้ยิงโจมตีตอบโต้แต่อย่างใด
...
นอกจากนั้น กองทัพอิสราเอลยังยึดครองสถานที่ 5 แห่ง ทางตอนใต้ของเลบานอนเอาไว้ ซึ่งรัฐบาลเลบานอนประณามว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของพวกเขารวมถึงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และขอให้อิสราเอลถอนทหารออกไปมาตลอด
แต่รัฐบาลยิวอ้างว่า กองทัพอิสราเอลยังไม่เข้าไปประจำการในพื้นที่เหล่านั้นอย่างเต็มที่ และพวกเขาจำเป็นต้องอยู่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของชุมชนบริเวณชายแดนของอิสราเอล
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc