เสรีภาพพลเมืองแบบจีนๆภายใต้ ‘ระบบโซเชียลเครดิต’รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รับรองสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของพลเมือง เช่น เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ การชุมนุม การสมาคม ระบบโซเชียลเครดิต ที่รัฐบาลพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ ‘รางวัล’ และ ‘ลงโทษ’ ต่อประชาชนและธุรกิจต่างๆ ในประเทศ ที่มีพฤติกรรมดีความน่าเชื่อถือ ‘ดี’ และ ‘ไม่ดี’ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก เลือกปฏิบัติ และละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนในประเทศจีน มีสิ่งที่เรียกกันว่า ‘โซเชียลเครดิต’ (Social Crdit) ซึ่งเป็นระบบที่จีนพัฒนาขึ้นเพื่อจัดระเบียบสังคมผ่านการให้ ‘รางวัล’ และ ‘ลงโทษ’ ต่อประชาชนและธุรกิจต่างๆ ในประเทศ ที่มี ‘พฤติกรรมดี’ และ ‘ไม่ดี’ ในมาตรวัดของรัฐบาลจีนเอง โดยระบบนี้ ออกแบบมาเพื่อวัดค่าความน่าเชื่อถือของพลเมืองแต่ละคน ผ่านการจัดเก็บข้อมูลประชาชนและประเมินผล ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลกำกับเรื่องนี้มีชื่อว่า คณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติ(NDRC) และธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (The People’s Bank of China)พูดง่ายๆ ว่า รัฐบาลสร้างระบบที่รวบรวมข้อมูลทางการเงิน สังคม และกฎหมายของประชาชนและธุรกิจในประเทศ และรวมให้เป็นคะแนนตัวเลขเดียว เรียกว่า ‘คะแนนความน่าเชื่อถือ’ จากนั้นคะแนนดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อกำหนดผลที่ตามมาในโลกแห่งความเป็นจริง กล่าวคือ หากมีคะแนนความน่าเชื่อถือมาก ก็จะได้รางวัลหรือสิทธิพิเศษในรูปแบบต่างๆ เช่น เข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ได้รับโอกาสในการศึกษาหรือการทำงานที่ดีขึ้น ได้รับสิทธิการเข้ารับรักษาพยาบาลและสวัสดิการต่างๆ ดีขึ้น ซึ่งในทางตรงกันข้าม หากประชาชนคนใดได้คะแนนความน่าเชื่อถือน้อย หรือโดนหักคะแนนจนหมด ก็จะถูกลงโทษในระดับต่างๆ ตั้งแต่การจำกัดการเข้าถึงสิทธิและบริการสาธารณะต่างๆ ไปจนถึงจำกัดการเดินทาง เช่น ห้ามซื้อตั๋วเครื่องบินหรือรถไฟความเร็วสูง จำกัดการออกนอกประเทศ ถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อหรือบัตรเครดิต ถูกจำกัดารเข้าถึงโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย จำกัดการเข้าถึงการรักษาพยาบาล อาจถูกปฏิเสธการจ้างงานหรือเลื่อนตำแหน่ง ถูกประจานผ่านสื่อต่างๆ ถูกจำกัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย และถูกขึ้นบัญชีดำ (blacklist)รัฐบาลจีนก็ประกาศใช้แผนสร้างระบบโซเชียลเครดิต ตั้งแต่ปี 2014-2020 ซึ่งระบุถึงมาตรการต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ เครดิตทางการเมืองเครดิตทางการค้าเครดิตทางสังคมเครดิตทางกฎหมาย ระบบโซเชียลเครดิตของจีน ถูกมองว่าขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนที่รัฐบาลจีนประกาศไว้ในหลายประการ เช่น ระบบโซเชียลเครดิตรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากจากแหล่งต่างๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยีเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เช่น กล้องวงจรปิดและระบบจดจำใบหน้า ทำให้รัฐบาลสามารถติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมของประชาชนได้ตลอดเวลา โดยที่ประชาชนอาจไม่ทราบหรือไม่ยินยอม ซึ่งขัดแย้งกับ ‘หลักการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว’ ถัดมาคือการลงโทษผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นที่พอใจ การเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสาร และการควบคุมอินเทอร์เน็ต ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างจำกัด ซึ่งเป็นการจำกัด ‘เสรีภาพในการแสดงออก’ รวมถึงอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีคะแนนเครดิตต่ำ ทำให้พวกเขาถูกจำกัดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะ การศึกษา การทำงาน และการเดินทาง ซึ่งถูกมองว่าเป็นการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใส และอาจกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างร้ายแรง ซึ่งขัดแย้งกับหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ … ที่รัฐบาลจีนนั่นแหละประกาศรับรองสิทธิมนุษยชนไว้เอง แฉค่ายปรับทัศนคติในซินเจียง ละเมิดและทารุณ ‘อุยกูร์’ ร้ายแรงจีนลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศไว้หลายฉบับ อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ, การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ, อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี, อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศ, อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ฯลฯองค์การสหประชาชาติออกรายงานและเปิดเผยหลักฐานว่า รัฐบาลจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ในซินเจียงอย่างรุนแรง เช่น การควบคุมตัวโดยพลการ การทรมาน การบังคับใช้แรงงาน การละเมิดสิทธิทางเพศ และการจำกัดเสรีภาพทางศาสนาและวัฒนธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชน ‘อย่างร้ายแรง’ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ โดยรัฐบาลจีน ถูกเผยแพร่ในเอกสารขององค์การสหประชาชาติในปี 2022 และกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลก เนื่องจากหลักฐานและข้อมูลในเอกสารฉบับนี้ สวนทางกับการโฆษณาของจีนที่บอกว่า รัฐบาลได้สร้าง ‘ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพ’ ที่เน้นการให้การศึกษาและฝึกอาชีพแก่ชาวอุยกูร์และกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและการก่อการร้ายเท่านั้น โดยยืนยันว่าค่ายเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการก่อการร้าย และ ‘ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในซินเจียง’เท้าความสักนิด ‘ซินเจียง’ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และเป็นภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดโดยซินเจียง คือเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region) เช่นเดียวกับทิเบต ภูมิภาคนี้คือแหล่งผลิตฝ้ายซึ่งคิดสัดส่วนราว 1 ใน 5 ของโลก แถมยังอุดมไปด้วยน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งในทางภูมิรัฐศาสตร์ ซินเจียงยังใกล้ชิดกับเอเชียกลงและยุโรป ทั้งหมดนี้อาจทำให้รัฐบาลจีนเห็นถึงความสำคัญของซินเจียงทั้งในเชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจและความสำคัญทางการเมืองโลก โดยในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 ชาวอุยกูร์ประกาศเอกราชของภูมิภาคซินเจียงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ มีการจัดตั้ง ‘สาธารณรัฐเติร์กสถานตะวันออก’ ขึ้นสองครั้ง แต่ที่สุดแล้วก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ใหม่ของจีนควบคุมภูมิภาคนี้ได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งในเวลาต่อมา ความขัดแย้งระหว่างชาวอุยกูร์และรัฐบาลจีนเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยเหตุการณ์สำคัญคือ การจลาจลในเมืองอุรุมชีเมื่อปี 2552 ที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตจากการปะทะเกือบ 200 คน โดยจีนกล่าวหาว่าชาวอุยกูร์ที่ต้องการตั้งประเทศของตัวเองเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งหลังเหตุการณ์นี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการมากมาย เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวนมาก ด่านตรวจ และเพิ่มกองกำลังรักษาความปลอดภัยในซินเจียง จำกัดการเดินทางและการติดต่อสื่อสารของชาวอุยกูร์ จำกัดการปฏิบัติศาสนาอิสลาม การทำลายมัสยิด และการควบคุมการแต่งกาย เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอุยกูร์ ส่งเสริมให้ชาวฮั่นย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในซินเจียง เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในพื้นที่ รวมถึงการตั้ง ‘ค่ายปรับทัศนคติ’ กว่า 380 แห่งในซินเจียง หรือที่รัฐบาลจีนโปรโมตว่าเป็น ‘ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพ’สิงหาคม ปี 2565 องค์การสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (OHCHR assessment of human rights concerns in the Xinjiang Uyghur Autonomous Region, China) โดยรายงานระบุว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ในซินเจียง เช่น การควบคุมตัวโดยพลการ การทรมาน การบังคับใช้แรงงาน การละเมิดสิทธิทางเพศ และการจำกัดเสรีภาพทางศาสนาและวัฒนธรรมโดยรายงานระบุว่า ‘ค่ายปรับทัศนคติ’ ที่รัฐบาลจีนอ้างว่าเป็น ‘ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพ’ นั้น แท้จริงแล้วเป็นสถานที่ควบคุมตัวชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ โดยพลการ โดยมีหลักฐานบ่งชี้ว่า ชาวอุยกูร์ในค่ายถูกบังคับให้ทำหมันและคุมกำเนิด ล่วงละเมิดทางเพศและทรมานอย่างโหดร้าย บังคับใช้แรงงาน ทำลายมัสยิดและสถานที่ทางศาสนารวมถึงควบคุมการปฏิบัติพิธีกรรมตามหลักอิสลาม ซึ่งข้อกล่าวหาหลายประการในรายงารนี้ อาจเข้าข่ายการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แน่นอนว่ารัฐบาลจีนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และโต้แย้งรายงานฉบับนี้ว่า รายงานดังกล่าวมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือนความเป็นจริง โดยยืนยันว่า ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบต่อชาวอุยกูร์และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในซินเจียงแต่อย่างใด รวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรชาวอุยกูร์ด้วยการทำหมันขนานใหญ่ว่าไม่มีมูลความจริง โดยข้อกล่าวหาการบังคับใช้แรงงานต่างๆ นั้นถูกแต่งขึ้นมาทั้งหมดจีนยังกล่าวอีกว่า สมาชิกกลุ่มติดอาวุธอุยกูร์กำลังปฏิบัติการรุนแรงเพื่อตั้งรัฐเอกราชทั้งการวางระเบิด การก่อวินาศกรรม และก่อความไม่สงบ ทว่าการออกมาโต้แย้งของจีนก็ถูกมองว่าไม่มีน้ำหนักหากเทียบกับหลักฐานที่ถูกนำมาเปิดเผย และมองว่า จีนต่างหากล่ะที่พูดเกินเลยความจริงในเรื่องภัยคุกคาม เพื่อที่จะใช้เป็นเหตุผลในการปราบปรามชาวอุยกูร์อย่างไรก็ดี แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและถูกมองว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง แต่จีนก็ได้ขยายบทบาทของตนเองในด้านสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ นอกจากการยื่นรายงาน การร่างเครื่องมือ และการมีส่วนร่วมในการเจรจาด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว ปัจจุบันจีนยังเป็นภาคีในข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ เช่นอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ICERD)การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW)อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT)อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศ (ICESCR)อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายตัวไปโดยถูกบังคับ (CED)อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC)อย่างไรก็ตาม จีนยังไม่ได้ให้สัตยาบันในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอนุสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ แบบใด?เมื่อจีนออกกฎหมายแทรกแซงฮ่องกง จีนได้ลงนามกับอังกฤษในปฏิญญาร่วมจีน-อังกฤษ (Sino-British Joint Declaration) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2527 เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกงหลังจากการสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่ ‘ดินแดนใหม่’ (New Territories) ในปี 2540สาระสำคัญคือ จีนจะจัดตั้ง "เขตบริหารพิเศษฮ่องกง" โดยให้มีระดับการปกครองตนเองสูง ฮ่องกงจะรักษาระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบทุนนิยมไว้เป็นเวลา 50 ปี หลังจากการส่งมอบ และจีนจะรับประกันสิทธิและเสรีภาพต่างๆ ของชาวฮ่องกง เช่น เสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม และการนับถือศาสนา ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’23 ปีหลังฮ่องกงกลับสู่จีน รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งถูกมองว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักการหนึ่งประเทศ สองระบบ จำกัดเสรีภาพการแสดงออก และทำลายหลักนิติธรรมและความเป็นอิสระของระบบยุติธรรมในฮ่องกง ซึ่งขัดกับสัญญาที่ลงนามไว้กับอังกฤษ และละเมิดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ที่ฮ่องกงได้ลงนามในกติการะหว่างประเทศหลังอังกฤษส่งมอบ ‘ฮ่องกง’ คืนสู่อ้อมกอดของจีนในเดือนกรกฎาคม ปี 2540 และลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า จีนจะยอมให้ฮ่องกงอยู่ในฐานะ ‘เขตปกครองตนเอง’ เป็นเวลา 50 ปี ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ โดยจีนจะรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหารและความมั่นคง ส่วนการบริหารประเทศ ยังคงเป็นอิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม ฮ่องกงเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะเมืองท่าทางการค้าระหว่างประเทศ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้รับขนานนามว่าเป็น 1 ใน 4 เสือแห่งเอเชีย ตีคู่มากับไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ในปี 2562 เกิดเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ในฮ่องกง สาเหตุจากความไม่พอใจของประชาชนต่อร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่รัฐบาลฮ่องกงเสนอ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวถูกมองว่า อาจเป็นช่องทางที่จะจัดการกับนักมนุษยชนหรือผู้ที่คิดเห็นต่างทางการเมืองกับจีน ซึ่งจะถูกจับตัวส่งไปดำเนินคดีที่จีนแผ่นดินใหญ่ โดยร่างกฎหมายนี้นอกจากจะบังคับใช้กับชาวฮ่องกงแล้ว ยังบังคับใช้กับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในฮ่องกง ผู้ที่ดินทางผ่านหรือเข้ามาท่องเที่ยว รวมถึงการเข้ามาทำธุรกิจในฮ่องกงด้วยนอกจากนี้ ในร่างกฎหมายยังกำหนดให้ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ‘ซึ่งถูกเลือกโดยรัฐบาลจีน’ เป็นผู้ดูแลการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ต่างจากปัจจุบันที่สภานิติบัญญัติฮ่องกงเป็นผู้มีอำนาจในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งแม้ทางการฮ่องกงได้แถลงการณ์ว่าร่างแรกของกฎหมายฯ ได้มีการปรับแก้แล้ว เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและให้คำมั่นว่าจะมีการไต่สวนอย่างเป็นธรรม และจะไม่มีการส่งตัวผู้ต้องหาในคดีการเมืองให้กับจีนอย่างแน่นอน และเพิ่มเงื่อนไขในการส่งตัวผู้ต้องหาเฉพาะที่มีโทษจำคุกเกิน 7 ปี จากเดิมที่เคยเสนอไว้ 3 ปี และครอบคลุมคดีอาชญากรรมที่ร้ายแรงเท่านั้น ต่อมา แม้ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงจะออกประกาศว่าได้หยุดพิจารณาร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้าม แดนแล้ว แต่การชุมนุมก็ยังยกระดับไปถึงการปิดสนามบิน อันเนื่องมาจากความรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้น โดยในปัจจุบันฮ่องกงเป็นตลาดทุนอันดับ 3 ของโลก มีมูลค่าตลาดรวมกันทั้งหมด 170 ล้านล้านบาท หรือใหญ่กว่าตลาดหลักทรัพย์ไทย 10 เท่า แต่ภายใต้เศรษฐกิจที่ดูดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ นโยบายที่ดินและสวัสดิการบ้านของรัฐบาลฮ่องกง กลับเอื้อต่อนักธุรกิจ ทำให้ราคาที่พักสูงเกินกว่าที่คนฮ่องกงทั้งระดับล่างและระดับกลางจะซื้อได้ ทำให้คนฮ่องกงทั่วไป ทั้งเยาวชน นักศึกษา รวมถึงผู้ที่เริ่มทำงานในวัยหนุ่มสาวรู้สึกว่าตัวเขาเองใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากในบ้านเกิดเมืองนอน โดยผู้ชุมนุมได้ออกมาเสนอข้อเรียกร้องได้แก่ ยกเลิกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้มีการสอบสวนตำรวจที่ใช้ความรุนแรงในการปราบผู้ชุมนุมไม่เอาผิดผู้ชุมนุมที่ถูกจับหยุดเรียกผู้ชุมนุมว่าผู้ก่อจลาจลเริ่มมีกระบวนการปฏิรูปการเมืองเหตุการชุมนุมในครั้งนี้ นำไปสู่ข้อกล่าวหาด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลจีนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมากมาย ทั้งการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการควบคุมการชุมนุม เช่น การใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และสเปรย์พริกไทยอย่างไม่เหมาะสม การจับกุมผู้ประท้วงโดยพลการและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม การใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ เพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมของประชาชน ตลอดจนการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง ทว่าสิ่งที่ถกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของจีนที่บังคับใช้ในฮ่องกงในปี พ.ศ. 2563 โดยรัฐบาลจีนอ้างว่ากฎหมายนี้มีเพื่อรักษาหลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ และความเจริญรุ่งเรืองของฮ่องกง ทว่าในความจริงแล้ว หลายฝ่ายมองว่า กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมสถานการณ์ในฮ่องกงหลังจากการประท้วงครั้งใหญ่นั่นเอง กฎหมายนี้มีเป้าหมายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติจีน โดยครอบคลุมการแบ่งแยกดินแดน การล้มล้างอำนาจรัฐ การก่อการร้าย และการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ โดยกำหนดความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ และให้อำนาจแก่รัฐบาลจีนในการบังคับใช้กฎหมายในฮ่องกง อีกทั้งยังกำหนดให้มีการจัดตั้ง ‘สำนักงานพิทักษ์ความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง’ เพื่อทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงแห่งชาติไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ในบางกรณียกตัวอย่างเช่น กรณี ‘ลีออน ทง ยิง-กิต' วัย 24 ปี ถูกกล่าวหาว่าขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ขณะถือธงที่มีข้อความว่า “ปลดปล่อยฮ่องกงให้เป็นอิสระ การปฏิวัติของช่วงชีวิตเรา” เข้าชนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อปีที่แล้ว ปฏิเสธไม่ยอมรับผิดต่อทุกข้อหาที่อัยการสั่งฟ้อง โดยในคดีของลีออน ถูกดำเนินการภายใต้กฎหมายความมั่นคงใหม่นี้ โดยมีการเลือกคณะผู้พิพากษาที่มีสมาชิก 3 รายขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับการดูแลคดี โดยไม่ต้องมีคณะลูกขุนอีกต่อไป และหลังจากการไต่สวนเป็นระยะเวลา 15 วัน คณะผู้พิพากษาได้กลับขึ้นบัลลังก์พร้อมคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจริงหรืออีกกรณีคือ การจับกุม จิมมี ไล เจ้าของสื่อแอปเปิลเดลี (Apple Daily) เขาถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของฮ่องกง โดยสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติ จากนั้นเขาก็ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง ก่อกบฏ เข้าร่วมการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อกล่าวหาเหล่านี้หลายกระทง คดีของไล ถูกประณามจากผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงหลายประการ ทั้ง ‘การจำกัดเสรีภาพสื่อ’ เนื่องจาก ‘แอปเปิลเดลี’ เป็นสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนอย่างตรงไปตรงมา การจับกุม จิมมี ไล และการปิดตัวของแอปเปิลเดลี แสดงให้เห็นถึงการปราบปรามเสรีภาพสื่อในฮ่องกง อีกทั้งการจับกุมไล เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีข้อกำหนดที่คลุมเครือและสามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง สะท้อนการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรมและความเป็นอิสระของระบบยุติธรรม โดยเฉพาะคดีของ ‘ไลน์’ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐบาลจีนอย่างชัดเจน ต้องอย่าลืมว่า รัฐบาลจีนได้ลงนามหลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ ไว้ในวันที่รับมอบฮ่องกงคืนจากอังกฤษ ซึ่งการรับหลักการดังกล่าว เปรียบเสมือนการสัญญาว่า ฮ่องกงจะยังปกครองตนเอง โดยรักษาระบบกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคมของตนไว้ได้ ทว่าการที่รัฐบาลจีนบังคับใช้ ‘กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ’ ในฮ่องกง แทนที่เงื่อนไขในข้อตกลงที่ทำกับอังกฤษไว้เมื่อ 23 ปีก่อนหน้า โดยกฎหมายใหม่นี้ห้ามการแบ่งแยกดินแดน การบ่อนทำลาย การก่อการร้าย และการสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ ซึ่งรายละเอียดของกฎหมายดังกล่าวสามารถถูกตีความไปได้หลายทางคริสโตเฟอร์ อารีฟ บัลคัน จากองค์การสหประชาชาติ ชี้ว่า ในฐานะที่ฮ่องกงเป็นผู้ลงนามในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ฮ่องกงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชากรดังที่ระบุไว้ในเอกสารนี้ และแม้จีนจะไม่ได้ลงนามในกติการะหว่างประเทศที่ว่า แต่ บัลคัน กล่าวว่า ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ระบุไว้ในกติกานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก รัฐบาลฮ่องกงจึงต้องควรยึดมั่นในหลักการปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิ์ต่างๆ ภายใต้ข้อตกลงที่ทำไว้กับอังกฤษ