• สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียดำเนินมาจนครบ 3 ปีแล้ว ในวันจันทร์ที่ 24 ก.พ. 2568 ท่ามกลางความสูญเสียมากมายทั้งทหารและประชาชน

  • แต่สงครามดังกล่าวกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อผู้สนับสนุนใหญ่ของยูเครนอย่างสหรัฐฯ เปลี่ยนผู้นำและมีทีท่าไม่ต้องการสนับสนุนการทำสงครามอีกต่อไป

  • โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการยุติสงคราม ซึ่งเขาเดินหน้าเจรจากับรัสเซียเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และพยายามกดดันยูเครนอย่างหนักจากหลายทิศทาง

วันจันทร์ที่ 24 ก.พ. 2568 นี้คือวันครบรอบ 3 ปี นับตั้งแต่รัสเซียยกทัพบุกโจมตียูเครนเต็มรูปแบบ จนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดและสร้างความสูญเสียมากที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตของชาวยูเครนเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ชีวิตอันสงบสุขถูกแทนที่ด้วยเสียงปืนและระเบิด ผู้คนนับล้านต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น ในขณะที่ทหารซึ่งสู้รบในแนวหน้าก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความเสียเปรียบด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังคน

แต่การต่อสู้ที่คาดกันในตอนแรกว่าจะจบลงภายในไม่กี่วันก็ยืดเยื้อมาจนเข้าสู่ปีที่ 4 โดยยูเครนได้รับความช่วยเหลือมหาศาลจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ พูดให้เข้าใจง่ายคือ เกือบครึ่งของความช่วยเหลือที่ยูเครนได้รับ มาจากแดนลุงแซมเพียงประเทศเดียว

แต่ในปีที่ 4 ของสงครามนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเขากำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยุติสงคราม ถึงแม้มันจะหมายความว่า ยูเครนจะต้องเสียดินแดนให้แก่รัสเซียก็ตาม

...

ยูเครนเสียดินแดนแล้ว 11%

ตอนที่สงครามเริ่มขึ้นเมื่อ 24 ก.พ. 2565 รัสเซียยกทัพบุกโจมตีจากทางเหนือ, ใต้ และตะวันออก ชิงดินแดนไปได้จำนวนมากเพื่อหาทางเข้าสู่กรุงเคียฟ แต่ทหารยูเครนสามารถปกป้องเมืองหลวงของพวกเขาเอาไว้ได้

ในช่วงปลายปี 2565 ยูเครนจะเปิดฉากโต้กลับ ด้วยความช่วยเหลือจากชาติตะวันตก ผลักดันกองทัพรัสเซียออกจากแคว้นคาร์คิฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และแคว้นเคอร์ซอน ทางใต้ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นโมเมนตัมก็กลับไปทางรัสเซียอีกครั้ง และทำให้ยูเครนเสียดินแดนทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเมืองบักห์มุต

นับตั้งแต่ปี 2565 ยูเครนเสียดินแดนให้รัสเซียไปราว 11% ของดินแดนทั้งหมด แต่หากรวมเหตุการณ์ในปี 2557 ซึ่งยูเครนเสียดินแดนบางส่วนในแคว้นโดเนตสก์ กับแคว้นลูฮานสก์ ให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดน และเสียไครเมียให้แก่รัสเซีย ทำให้ปัจจุบัน ยูเครนเสียดินแดนให้รัสเซียไปแล้วประมาณ 18%

ยอดความสูญเสียไม่ชัดเจน

จนถึงตอนนี้ยังไม่มีฝ่ายใดเปิดเผยจำนวนผู้สูญเสียที่ชัดเจน เพราะเหตุผลด้านการโฆษณาชวนเชื่อและคุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ แต่ “มีเดียโซนา” สื่ออิสระของรัสเซีย กับ “บีบีซี” ทำการวิเคราะห์ร่วมกันและได้ข้อสรุปว่า รัสเซียน่าจะเสียทหารไปแล้วกว่า 95,000 ศพ แต่จำนวนที่แท้จริงอาจจะมากถึง 140,000 – 220,000 ศพ

ขณะที่หน่วยงานอิสระประเมินว่ายูเครนสูญเสียทหารไปแล้วประมาณ 70,000 ศพ ขณะที่สหประชาชาติระบุว่า มีประชาชนยูเครนอย่างน้อย 12,600 ศพ ที่ถูกสังหารตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนจำนวนผู้บาดเจ็บของแต่ละฝ่ายคาดอยู่ในหลักแสนราย

นอกจากนั้น ชาวยูเครนอีกหลายล้านคนต้องอพยพออกจากบ้านกลายเป็นผู้พลัดถิ่น โดยที่ราว 3.7 ล้านคนพลัดถิ่นอยู่ภายในยูเครน ขณะที่ราว 6.3 ล้านคนอพยพหรือลี้ภัยเข้าสู่ประเทศแถบยุโรป และราว 1.2 ล้านคนอยู่ในสหพันธรัฐรัสเซีย

สหรัฐฯ เลิกหนุนยูเครน

ตลอดการทำสงคราม 3 ปีที่ผ่านมา ยูเครนพึ่งพาการสนับสนุนจากชาติตะวันตกอย่างหนัก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ซึ่งมอบความช่วยเหลือทางทหาร, มนุษยธรรม และการเงินให้แก่ยูเครนคิดเป็นมูลค่ากว่า 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว แต่สิ่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไปภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

นายทรัมป์แสดงออกชัดเจนว่าเขาต้องการทำให้สงครามนี้จบลง โดยเบนเป้าหมายการกดดันจากรัสเซียมาเป็นฝ่ายยูเครนแทน ด้วยการต่อสายโทรศัพท์คุยกับผู้นำรัสเซียโดยตรง และจัดการประชุมระดับสูงฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียที่ซาอุดีอาระเบีย ทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลทรัมป์อาจพยายามผลักดันข้อตกลงโดยไม่สนใจยูเครน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ กับ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนสาดวาทกรรมตอบโต้กันอย่างหนัก ถึงขั้นที่นายทรัมป์กล่าวหาเซเลนสกีว่าเป็นเผด็จการ และบอกว่าการให้ประธานาธิบดียูเครนรายนี้เป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ทรัมป์ยังพยายามกดดันให้ผู้นำยูเครนลงนามข้อตกลงมอบส่วนแบ่งรายได้จากการทำเหมืองแร่และทรัพยากรอื่นๆ ให้แก่สหรัฐฯ เพื่อชดเชยความช่วยเหลือที่พวกเขาเคยมอบให้ด้วย

นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังกดดันหลายประเทศไม่ให้สนับสนุนร่างมติสหประชาชาติที่นำเสนอโดยยูเครน เนื่องในวันครบรอบ 3 ปีสงคราม แต่ให้สนับสนุนร่างมติของสหรัฐฯ ซึ่งไม่พูดถึงการรุกรานยูเครนของรัสเซีย หรือบอกให้รัสเซียแสดงความรับผิดชอบใดๆ เพียงแค่เรียกร้องให้มีการยุติความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศเท่านั้น

...

โพลชี้คนต้องการสันติภาพ

ผลการสำรวจความคิดเห็นของ “Gallup” สถาบันจัดทำโพลชื่อดังเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ชี้ว่า ชาวอเมริกันกว่า 50% ต้องการให้สงครามในยูเครนยุติลงโดยเร็ว แม้ว่ายูเครนจะไม่สามารถชิงดินแดนที่เสียไปกลับมาได้ทั้งหมดก็ตาม ขณะที่ชาวอเมริกัน 37% มองว่าประเทศของพวกเขาให้การสนับสนุนยูเครนมากเกินไป

ส่วนในยุโรป ผลการสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ ชาว EU 74% ยังมองว่าการช่วยยูเครนต่อต้านการรุกรานจากรัสเซียคือการปกป้องค่านิยมของยุโรป

แต่ผลการศึกษาแยกต่างหากในช่วงปลายปี 2567 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องการสนับสนุนยูเครนจนกว่าจะชนะนั้น เริ่มลดลงในหลายประเทศของสหภาพยุโรป และการเจรจาสันติภาพโดยยอมเสียดินแดน เริ่มเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมมากกว่าในเยอรมนี, อิตาลี และฝรั่งเศส

ขณะที่ในรัสเซีย แรงสนับสนุนการทำสงครามยังสูงเกือบ 80% ตามโพลของ Levada Center แต่ชาวรัสเซียกว่า 61% ก็สนับสนุนเรื่องการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งเช่นกัน มากที่สุดนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น

โพลของ Gallup ชี้ด้วยว่า แม้แต่ในยูเครน ประชาชนที่อยากเห็นประเทศของพวกเขาเจรจาเพื่อยุติสงครามโดยเร็วที่สุดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากไม่ถึง 30% ในปี 2565 และ 2566 มาเป็น 52% ในช่วงปลายปี 2567 ขณะที่ 38% เชื่อว่าประเทศของพวกเขาควรจะต่อสู้ต่อไป ลดลงจากปี 2565 ที่ตัวเลขนี้สูงถึง 73%





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : axios , gzeromedia , cnn

...