รัฐบาลญี่ปุ่นเสนอแผนการหันหน้าพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น เพื่อเพิ่มการพึ่งพาตนเอง และรองรับเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานมากอย่าง AI
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 18 ก.พ. 2568 คณะรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่นอนุมัติแผนพลังงานใหม่ที่เรียกร้องให้มีการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างเต็มที่ และยกเลิกแนวทางลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ที่แดนอาทิตย์อุทัยใช้หลังเกิดหายนะที่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ-ไดอิจิ เมื่อปี 2554
แผนพลังงานดังกล่าวซึ่งร่างโดยกระทรวงพลังงาน การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ภายในปี 2583 พลังงานนิวเคลียร์ควรคิดเป็น 20% ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ญี่ปุ่นใช้ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งอัตราส่วนอยู่ที่เพียง 8.5%
ทั้งนี้ แผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูดเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ในภูมิภาคโทโฮคุ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าสู่ชายฝั่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 18,000 ศพ เมืองหลายแห่งถูกทำลาย และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงงานไฟฟ้าฟูกูชิมะ-ไดอิจิถูกน้ำท่วม นำไปสู่การหลอมละลายและเกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นใช้งานเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเชิงพาณิชย์เพียง 14 เครื่อง จากทั้งหมด 54 เครื่องก่อนเกิดหายนะที่ฟูกูชิมะ ซึ่งตอนนั้นแหล่งกำเนิดพลังงานของญี่ปุ่น 30% มาจากพลังงานนิวเคลียร์
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนับเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อรองรับเทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมหาศาลอย่างการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ โดยแผนการนี้ยังต้องขอคำอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งจะมีการอภิปรายภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
นายไดชิโร ยามากิวะ ส.ส.ผู้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแผนพลังงานของรัฐบาลญี่ปุ่น บอกกับสำนักข่าวบีบีซีว่า ญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าเชื้อเพลิงกว่า 90% จำเป็นต้องมองหาทรัพยากรนิวเคลียร์ เพื่อทำตามแผนการตัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และเพื่อพึ่งพาตนเองในด้านพลังงาน
...
“เพราะความขัดแย้งในยูเครนกับสงครามในตะวันออกกลาง แม้แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ซื้อหายาก” นายยามากิวะกล่าว “ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากรพลังงาน ดังนั้นเราต้องใช้ทุกอย่างที่มีอย่างสมดุล”
นายยามากิวะเสริมด้วยว่า ภาระทางพลังงานจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้ เพราะต้องนำไปใช้ในศูนย์ประมวลผล AI กับโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ศ.เคนอิจิ โอชิมะ จากคณะนโยบายวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยริวโคคุ กล่าวว่า การหันไปพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นนั้นทั้งมีความเสี่ยงและเสียค่าใช้จ่ายมาก เนื่องจากพวกเขาต้องนำเข้าแร่ยูเรเนียม ซึ่งมีราคาแพงและทำให้พวกเขาต้องไปพึ่งพาประเทศอื่น และการเพิ่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้
ศ.โอชิมะยกตัวอย่างเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่ภูมิภาคโนโตะ ในวันขึ้นปีใหม่ปี 2567 ซึ่งเมื่อ 2 ทศวรรษก่อนเคยมีความพยายามสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในบริเวณนั้น แต่แผนต้องพับไปเพราะถูกต่อต้านจากประชาชน “หากที่นั่นมีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามันอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้”
นอกจากนั้น การทำตามเป้าหมายที่ 20% ของรัฐบาล หมายความว่าญี่ปุ่นต้องเปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้ได้ 33 เครื่อง แต่เตาปฏิกรณ์ส่วนใหญ่นั้นเก่า และจำเป็นต้องติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้มันสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย และเมื่อรวมกับเวลาที่ต้องใช้ตรวจสอบความปลอดภัย และแรงต้านจากประชาชน การเปิดเตาปฏิกรณ์จึงอาจต้องใช้เวลานาน
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc