กระทรวงกลาโหมอิสราเอลสั่งการกองทัพให้เตรียมแผนการเพื่ออนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์สามารถออกจากฉนวนกาซาได้โดยสมัครใจ ตามข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ก.พ. 2568 กระทรวงกลาโหมของอิสราเอลสั่งการให้กองทัพวางแผนเพื่ออนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยในฉนวนกาซาที่ต้องการอพยพออกจากพื้นที่แห่งนี้สามารถเดินทางออกไปได้โดยสมัครใจ สอดคล้องกับข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ายึดครองกาซา แล้วย้ายชาวปาเลสไตน์ 2.1 ล้านคนไปอยู่ที่อื่น

นายอิสราเอล คัตซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลระบุผ่าน X ว่า เขาเห็นด้วยกับแผนการอันกล้าหาญของประธานาธิบดีทรัมป์ ชาวกาซาควรมีอิสระในการเคลื่อนย้ายและอพยพซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยแผนของเขารวมถึงตัวเลือกในการออกไปทางบก, ทางทะเล และทางอากาศ

นายคัตซ์บอกอีกว่า ประเทศอย่างสเปน, ไอร์แลนด์, นอร์เวย์ และอื่นๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลที่ทำสงครามกับกลุ่มฮามาส มีข้อผูกมัดทางกฎหมายที่จะต้องยอมให้ชาวกาซาเข้าไปในดินแดนของพวกเขา “การเสแสร้งของพวกเขาจะถูกเปิดโปงหากพวกเขาปฏิเสธที่จะทำ”

นายคัตซ์กล่าวหากลุ่มฮามาสว่าขัดขวางไม่ให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา และขูดรีดเงินจากพวกเขาผ่านระบบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยที่รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลไม่ได้ขยายความเพิ่มเติม

คำพูดของนายคัตซ์เรียกเสียงประณามจากนายโฮเซ มานูเอล อัลบาเรส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสเปนในทันที โดยเขาย้ำว่า ดินแดนของชาวกาซาคือฉนวนกาซา และกาซาต้องเป็นส่วนหนึ่งในรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต

ทั้งนี้ สงครามในฉนวนกาซาทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 47,550 ศพ บาดเจ็บอีกนับแสนคน ชาวกาซาเกือบทั้งหมดต้องอพยพหนีความรุนแรงหลายครั้ง ขณะที่อาคารบ้านเรือนกว่า 70% ในกาซาถูกทำลายหรือได้รับความเสียหาย ระบบสาธารณสุข, ประปา และสุขอนามัยพังทลาย อาหาร ยา และเชื้อเพลิงล้วนขาดแคลน เช่นเดียวกับที่อยู่อาศัย

...

นับตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวย้ำหลายครั้งว่า ชาวปาเลสไตน์ควรย้ายออกจากกาซา และเสนอให้ชาติอาหรับอย่างอียิปต์และจอร์แดนรับพวกเขาเข้าไป แต่ทั้ง 2 ประเทศรวมทั้งผู้นำปาเลสไตน์ออกมาปฏิเสธ

จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายทรัมป์ซึ่งต้อนรับการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีอิสราเอลที่ทำเนียบขาวยื่นข้อเสนอว่า สหรัฐฯ จะเข้ายึดครองฉนวนกาซา และพัฒนาดินแดนแห่งนี้ให้เป็น “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ซึ่งเพื่อทำตามแผนนี้ ชาวปาเลสไตน์จะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น

แต่ข้อเสนอของนายทรัมป์ต้องเผชิญเสียงต่อต้านอย่างรุนแรง แม้แต่จากชาติพันธมิตร เช่น สหราชอาณาจักร ซึ่งระบุว่า ชาวปาเลสไตน์ควรได้ใช้ชีวิตและเจริญรุ่งเรืองในบ้านเกิดของพวกเขา ขณะที่อียิปต์ระบุว่า กาซาควรถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยไม่ต้องมีใครย้ายออกไป ส่วนลูกพี่ใหญ่ในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธความพยายามใดๆ ที่จะย้ายถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์

ด้านรัสเซีย จีน และเยอรมนี ก็ออกมาแสดงการต่อต้านเช่นกัน โดยระบุว่าการทำตามแผนของนายทรัมป์จะนำมาซึ่งความเจ็บปวดและความเกลียดชังครั้งใหม่

ขณะที่นายนาบิล อาบู รูเดเนห์ โฆษกประธานาธิบดีปาเลสไตน์ออกมาปฏิเสธแผนการของนายทรัมป์ อ้างว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และยืนยันว่า ดินแดน, ประวัติศาสตร์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์ไม่ได้มีไว้ขาย และเสริมว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่ยอมเสียดินแดนของพวกเขา ไม่ว่าจะกาซาหรือเวสต์แบงก์ แม้แต่นิ้วเดียว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ คนอื่นๆ จะพยายามลดกระแสต่อต้านแผนการของนายทรัมป์ลงมา โดย น.ส.แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวออกมายืนยันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจที่จะสร้างกาซาขึ้นมาใหม่ และย้ายผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นไปสถานที่อื่นชั่วคราว เพื่อการรื้อถอนอาคารที่พังเสียหาย

ส่วนนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็บอกว่า แนวคิดของประธานาธิบดีคือ ให้ชาวกาซาออกไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่มีการเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังและสร้างเมืองขึ้นมาใหม่

แต่ในวันพฤหัสบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social อีกว่า ฉนวนกาซาจะถูกส่งมอบให้สหรัฐฯ โดยอิสราเอลในตอนที่การต่อสู้ได้ข้อสรุป ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ชาวปาเลสไตน์ควรได้ย้ายไปอยู่ในชุมชนที่ปลอดภัยกว่าและสวยงามกว่ามาก กับบ้านใหม่และทันสมัยในตะวันออกกลาง เพื่อให้พวกเขาได้โอกาสมีความสุข, ปลอดภัย และเป็นอิสระ

นายทรัมป์ยืนยันด้วยว่า ไม่มีความจำเป็นต้องส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปในฉนวนกาซาเพื่อรักษาเสถียรภาพ

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc