เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล เดินทางเยือนสหรัฐฯ และเตรียมเข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขาคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนต่างๆ จากรัฐบาลใหม่ชุดนี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล เดินทางเยือนสหรัฐฯ และกำลังจะกลายเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้รับพบปะกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวในวันอังคารที่ 4 ก.พ. 2568 นี้ ท่ามกลางการหยุดยิงอันเปราะบางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา
โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างความดีความชอบในการทำให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง 6 สัปดาห์ดังกล่าว ซึ่งหยุดสงครามที่ดำเนินมานาน 15 เดือน และส่งผลให้มีตัวประกันชาวอิสราเอล 13 คนกับคนไทยอีก 5 คนได้รับการปล่อยตัวแล้ว แลกกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่อิสราเอลจับตัวเอาไว้ 583 คน
อย่างไรก็ตาม นายเนทันยาฮูกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก เนื่องจากพรรครวมรัฐบาลต่างไม่เห็นด้วยกับการหยุดยิงและขู่ให้เขาทำสงครามต่อมิเช่นนั้นจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วม ซึ่งจะทำให้รัฐบาลของเขาล่มสลาย
การเยือนสหรัฐฯ ของนายเนทันยาฮูถูกมองว่าเป็นการยกระดับสถานะของเขาในเวทีโลก หลังศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับเขาในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม แต่สหรัฐฯ ไม่ยอมรับ ICC จึงไม่มีพันธกรณีใดๆ ที่พวกเขาจะต้องจับกุมนายเนทันยาฮูตามหมายจับ พวกเขายังประณามความเคลื่อนไหวของ ICC ด้วย
ทั้งนี้ คาดกันว่านายเนทันยาฮูจะหารือกับนายทรัมป์เรื่องปัญหาต่างๆ ในตะวันออกกลาง รวมถึงการรื้อฟื้นความพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับซาอุดีอาระเบียให้กลับสู่ระดับ “ปกติ” อีกครั้ง และเรื่องการรับมืออิหร่าน ซึ่งยิงมิสไซล์และส่งโดรนโจมตีอิสราเอลโดยตรงแล้ว 2 ครั้งในปี 2567 ที่ผ่านมา
...
ผู้นำทั้งสองยังต้องการสานต่อข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับทั้งหลาย รวมถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก
อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียระงับการเจรจาฟื้นความสัมพันธ์กับอิสราเอลหลังจากสงครามในฉนวนกาซาปะทุขึ้นเมื่อ 7 ต.ค. 2566 โดยยืนยันว่า การเจรจาจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าปัญหาเรื่องความเป็นรัฐของปาเลสไตน์จะได้รับการแก้ไข
ซาอุฯ สนับสนุนแนวคิดการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์เคียงคู่ไปกับอิสราเอล หรือที่เรียกว่า “ระบบ 2 รัฐ” (two-state solution) ซึ่งเป็นสูตรที่นานาชาติเสนอมานานแล้วเพื่อสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง แต่นายเนทันยาฮูกับรัฐบาลของเขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และยิ่งต่อต้านหนักขึ้นอีกหลังฮามาสโจมตีพวกเขาเมื่อ 7 ต.ค.
นายเนทันยาฮูคาดหวังว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนายทรัมป์อีกครั้ง หลังจากในการปกครองสมัยแรก นายทรัมป์ช่วยผู้นำอิสราเอลมากมาย ทั้งผลักดันข้อตกลงอับราฮัม และย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปยังกรุงเยรูซาเลม แม้ปาเลสไตน์กับหลายประเทศจะต่อต้าน
นอกจากนั้นนายทรัมป์ยังประกาศยอมรับว่าอิสราเอลมีอธิปไตยเหนือที่ราบสูงโกลัน ที่อิสราเอลไปยึดมาและนานาชาติก็มองว่าดินแดนแห่งนี้เป็นของซีเรีย
และหลังจากรับตำแหน่งสมัยที่ 2 นายทรัมป์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายอิสราเอลของสหรัฐฯ ไปจากสมัยของ โจ ไบเดน รวมถึงยกเลิกการคว่ำบาตรผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลที่ถูกกล่าวหาว่า ล่วงละเมิดชาวปาเลสไตน์ และอนุมัติส่งระเบิดหนัก 2,000 ปอนด์ให้แก่กองทัพอิสราเอลด้วย หลังจากรัฐบาลไบเดนไม่อนุญาตมาตลอด
อย่างไรก็ดี นายทรัมป์กับนายเนทันยาฮูมีความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งทำให้สื่อของอิสราเอลพากันตั้งคำถามว่า การพบปะของทั้งสองคนในครั้งนี้จะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc