ทรัมป์ลงนามคำสั่งตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนแล้ว อ้างเพื่อควบคุมการไหลบ่าของยาเสพติดและผู้อพยพ เริ่มบังคับใช้สัปดาห์หน้า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ที่เข้มงวด สำหรับแคนาดา เม็กซิโก และจีนแล้ว ในที่บ้านพักตากอากาศ “มาร์-อา-ลาโก” ของเขา ในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2568
เพื่อบังคับใช้การตั้งกำแพงภาษี นายทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจแห่งชาติผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารของเขา และบังคับใช้กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งให้อำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวแก่ประธานาธิบดีในการบริหารจัดการสินค้านำเข้าระหว่างเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ โดยคำสั่งจะเริ่มมีผลในเวลา 00.01 น. วันอังคารที่ 4 ก.พ.นี้
รัฐบาลทรัมป์อ้างว่า การตั้งกำแพงภาษีดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการไหลของยาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมายไม่ให้เข้าสู่อเมริกา ท่ามกลางความกังวลจากหลายฝ่ายว่า การตั้งกำแพงภาษีเช่นนี้อาจทำให้ราคาสินค้าทั่วไปหลากหลายประเภทในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น
คำสั่งล่าสุดจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเพิ่มขึ้นในอัตรา 25% และจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น 10% โดยเป็นมาตรการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ให้คำมั่นสัญญามานานหลายเดือนตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง โดยคำสั่งระบุว่าการจัดเก็บภาษีนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าการไหลบ่าของยาเสพติดกับผู้อพยพจะสิ้นสุดลง
ทั้งนี้ การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากเม็กซิโกกับแคนาดาของรัฐบาลทรัมป์ ถือเป็นการสิ้นสุดการค้าแบบปลอดภาษีระหว่างชาติอเมริกาเหนือทั้ง 3 ประเทศที่ดำเนินมานานหลายปี ขณะเดียวกันก็เป็นการสานต่อสงครามการค้ากับจีนที่นายทรัมป์เริ่มเอาไว้เมื่อ 2 รัฐบาลก่อน
...
คาดกันว่าคำสั่งของนายทรัมป์จะเผชิญการตอบโต้จากประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจุดประกายให้เกิดสงครามการค้าซึ่งสามารถสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของทั้งประเทศเป้าหมายและต่อสหรัฐฯ เอง เนื่องจากในคำสั่งของนายทรัมป์ มีการอนุญาตให้เขาสามารถขยายอัตราภาษีนำเข้าได้ หากมีประเทศใดตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทพลังงานจากแคนาดาไว้ที่ 10% ต่างจากสินค้าประเภทอื่นที่กำหนดไว้ที่ 25% เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากที่พึ่งพาพลังงานจากแคนาดา ทั้งน้ำมัน, ไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงและให้ความร้อนภายในบ้าน
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn