ทำเนียบขาว สหรัฐฯ ยืนยัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเดินหน้าใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ใหม่ที่เข้มงวด สำหรับแคนาดา เม็กซิโก และจีน ตามกำหนดเส้นตายวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้
วันที่ 31 มกราคม 2568 แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% และจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% โดยจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตามกำหนดเส้นตายเดิม เพื่อแก้ปัญหาการไหลเวียนของเฟนทานิล ปัญหาผู้อพยพ และการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เคยให้ไว้
อย่างไรก็ตาม โฆษกทำเนียบขาวไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะมีข้อยกเว้นสำหรับการนำเข้าน้ำมันของแคนาดาและเม็กซิโก หรือข้อยกเว้นสำหรับมาตรการภาษีเข้มงวดต่อสินค้าที่อาจส่งผลให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่
โดยก่อนหน้านี้สำนักงานข้อมูลด้านพลังงาน ของสหรัฐฯเปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่า สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันเกือบ 4.6 ล้านบาร์เรลต่อวันจากแคนาดาในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา และนำเข้าน้ำมัน 563,000 บาร์เรลจากเม็กซิโก การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 13.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเดียวกัน
ทางด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา และนางคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก กล่าวว่าแคนาดาและเม็กซิโก พร้อมที่จะตอบสนองสหรัฐฯ หากมีการบังคับใช้ด้านภาษีศุลกากร
ขณะที่ คาร์ล ชาโมตตา หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ Corpay Cross-Border Solutions ระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจทำให้ภาระภาษีของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 272,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมประเมินว่าจะทำให้ชาวอเมริกันต้องเสียเงินมากกว่า 2,600 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับแต่ละครัวเรือน
...
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายผู้สนับสนุนทรัมป์กล่าวว่าความเสี่ยงนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะตามมา โดยนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า หากมาตรการภาษีศุลกากรทำให้เกิดผลกระทบเงินเฟ้อเล็กน้อย แต่สามารถแก้ไขปัญหาความมั่นคงของชาติได้ ประชาชนก็ควรจะลืมมันไป.