โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามคำสั่งพิเศษอีกหลายฉบับ เพื่อเปลี่ยนโฉมของกองทัพ รวมถึงแบนเจ้าหน้าที่ข้ามเพศ และยกเลิกโครงการ DEI
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวสหรัฐฯ 2 คนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร 4 ฉบับ เพื่อเปลี่ยนแปลงกองทัพ รวมถึงห้ามเจ้าหน้าที่ข้ามเพศทำงานในกองทัพสหรัฐฯ, ยกเลิกโครงการเพื่อความหลากหลาย, เท่าเทียม และการมีส่วนร่วม หรือ DEI
นอกจากนั้น ยังมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กองทัพที่ถูกปลดประจำการเนื่องจากปฏิเสธฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 กลับเข้าทำงานอีกครั้ง พร้อมกับจ่ายค่าจ้างย้อนหลังด้วย
ความเคลื่อนไหวล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากนาย พีท เฮกเซธ เพิ่งสาบานตนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยอดีตทหารผ่านศึกรายนี้พูดมานานแล้วว่า เขามีแผนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในกองทัพสหรัฐฯ รวมถึงยุติโครงการ DEI และปลดเจ้าหน้าที่ “โวค” (woke)
นายเฮกเซธบอกกับผู้สื่อข่าวหลังจากเขาเดินทางถึงตึกเพนตากอนในวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 2568 ว่า จะมีคำสั่งฝ่ายบริหารตามมาอีก
“วันนี้จะมีคำสั่งฝ่ายบริหารออกมาเพิ่มเติมอีก ทั้งเรื่องการยกเลิก DEI ในเพนตากอน, ประจำการทหารที่ถูกผลักออกไปเพราะมาตรการโควิดอีกครั้ง, สร้างไอรอน โดม สำหรับสหรัฐ”
“มันกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำความเคารพอย่างชาญฉลาด เหมือนที่ผมเคยทำตอนเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย และตอนนี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรับประกันว่า คำสั่งเหล่านี้จะถูกปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วว่องไว” นายเฮกเซธกล่าว
...
ทั้งนี้ นายทรัมป์เคยห้ามคนข้ามเพศทำงานในกองทัพมาแล้วเมื่อปี 2560 ตอนที่เขาปกครองสหรัฐฯ เป็นสมัยแรก ก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อมาอย่าง โจ ไบเดน จะออกคำสั่งพิเศษในปี 2564 ยกเลิกการแบนของนายทรัมป์
คำสั่งพิเศษดังกล่าวของไบเดน โดนคำสั่งฝ่ายบริหารที่นายทรัมป์ลงนามเมื่อ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ยกเลิกไปแล้ว แต่คำสั่งใหม่ที่นายทรัมป์จะลงนามจะอ้างเหตุผลเรื่องความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ ในการแบนเจ้าหน้าที่ข้ามเพศ และจะกำหนดมาตรฐานใหม่ของกองทัพ เรื่องคำสรรพนามระบุเพศด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2561 ปาล์ม เซ็นเตอร์ (Palm Center) ศูนย์วิจัยอิสระในสหรัฐฯ ประเมินเอาไว้ว่า ในกองทัพสหรัฐฯ มีเจ้าหน้าที่ข้ามเพศอยู่ประมาณ 14,000 คน
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn