รัฐบาลทรัมป์แจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางแผนกความหลากหลาย หรือ DEI ทุกคนหยุดงานแล้ว และกำลังเตรียมแผนเพื่อปิดหน่วยงานและเลิกจ้างพนักงาน
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) นายทรัมป์ออกคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารว่าด้วย “การยุติโครงการ DEI อันสิ้นเปลืองและสุดโต่งของรัฐบาล กับการยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารและมาตรการที่เป็นโทษขั้นต้น” ซึ่งเป็นการยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหมายเลข 14035 ว่าด้วยความหลากหลาย, ความเท่าเทียม, การไม่แบ่งแยก และการเข้าถึงได้ (DEIA) ในบุคลากรรัฐบาลกลาง ของนาย โจ ไบเดน
ตามคำสั่งดังกล่าว สำนักงานจัดการบุคลากรของรัฐบาลสหรัฐฯ (OPM) ได้ส่งจดหมายเหตุถึงหัวหน้าและรักษาการหัวหน้าแผนกหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลในวันอังคารที่ 21 ม.ค. เพื่อแจ้งขั้นตอนต่างๆ ในการปิดแผนกและยุติโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ DEIA
ขั้นตอนดังกล่าวเริ่มจาก การให้พนักงานแผนก DEI ทุกคนหยุดงานแบบได้ค่าจ้างภายในเวลา 17.00 น. วันพุธที่ 22 ม.ค. 2568 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ และปิดเว็บเพจของหน่วยงาน DEI ทั้งหมดภายในเส้นตายเดียวกัน ซึ่งล่าสุด น.ส.แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาวระบุผ่าน X ว่า คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้แล้ว
จากนั้น หน่วยงานต่างๆ จะต้องยกเลิกโครงการฝึกฝนพนักงานที่เกี่ยวข้องกับ DEI และยุติสัญญาใดๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจะถูกขอให้รายงานต่อต้นสังกัด ว่าพวกเขาพบโครงการที่เกี่ยวข้องกับ DEI ใด ที่อาจเปลี่ยนชื่อเพื่อหลบเลี่ยงคำสั่งหรือไม่ ภายใน 10 วัน มิเช่นนั้นจะเผชิญผลที่ตามมาในเชิงลบ
หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางจะได้รับคำสั่งให้รวบรวมรายการสำนักงานฝ่าย DEI และรายชื่อของพนักงาน นับจนถึงวันที่ 5 พ.ย. 2567 แล้วส่งให้ OPM ภายในวันพฤหัสบดีที่ 23 ม.ค. 2568 และพวกเขาต้องร่างแผนเพื่อลดกำลังคนที่ทำงานในสำนักงาน DEI ดังกล่าว ภายในวันศุกร์ที่ 31 ม.ค. 2568
...
ทั้งนี้ นายทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกมาตรการ DEI ทั้งหมดที่ออกโดยรัฐบาลไบเดน โดยกล่าวหาว่า โครงการเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงการกำหนดโควต้าให้หน่วยงานรัฐต้องมีผู้มีความหลากหลายตามที่กำหนด เป็นการเลือกปฏิบัติ และยืนยันว่าเขาจะรื้อฟื้น “การจ้างงานตามความสามารถ” อย่างเข้มงวด ให้กลับคืนมา
แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนโต้แย้งว่า โครงการ DEI เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเหยียดเชื้อชาติเชิงโครงสร้าง ที่อยู่คู่กับรัฐบาลสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : aljazeera