“ยุคทองของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ไป ประเทศของเราจะรุ่งเรืองและได้รับความเคารพไปทั่วโลกอีกครั้ง เราจะเป็นที่อิจฉาของนานาประเทศ และเราจะไม่ยอมถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป
จากนี้ไป ยุคเสื่อมถอยของอเมริกาสิ้นสุดลงแล้ว เราจะนำพาประเทศไปถึงจุดสูงสุดใหม่แห่งชัยชนะและความสำเร็จ ไม่มีความฝันใดที่เราไม่สามารถทำได้ เราจะไม่พ่ายแพ้ เราจะไม่ล้มเหลว”
คำกล่าวสุนทรพจน์ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังเข้าพิธีปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 เมื่อวันที่ 20 ม.ค.68
และหลังกล่าวสุนทรพจน์ นายทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารราวๆ 78 คำสั่ง เพื่อยกเลิกนโยบายต่างๆ ของนายโจ ไบเดน เช่น ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ส่งเสริมการผลิตเชื้อเพลิง ยกเลิกกฎหมายควบคุมปัญญาประดิษฐ์และรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ฯลฯ
แต่ยังไม่ได้ลงนามคำสั่งเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่ช่วยให้ชนะศึกเลือกตั้ง รวมทั้งจะไม่ออกมาตรการภาษีนำเข้ากับแคนาดา จีน เม็กซิโก อย่างที่เคยหาเสียงไว้
จากความไม่ชัดเจนนี้ ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนไทยยังคาดการณ์ไม่ได้ว่า “ทรัมป์ 2.0” จะเป็นอย่างไร ระดับของมาตรการจะรุนแรงเพียงใด และจะกระทบเศรษฐกิจ การค้าของโลกและไทย อย่างไร
แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า ผลกระทบจากมาตรการทางภาษี จะทำให้เศรษฐกิจโลกปี 68 เติบโตชะลอลงเหลือ 2.4% การค้าโลกโตเพียง 0.6% โดยจีน เม็กซิโก แคนาดา เยอรมนี และญี่ปุ่น จะได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงปี 68-69 ส่วนเศรษฐกิจและการส่งออกไทยจะลดลงเช่นกัน
“นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย เห็นว่า “การที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ก็ทำให้ไทยอยู่ในเรดาร์ที่ถูกต้องจับตา รัฐบาลต้องตั้งทีมร่วมกับภาคเอกชน ที่มีข้อมูลเชิงลึก เพื่อเจรจากับสหรัฐฯในการรักษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย”
...
ส่วน “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมรับมือ ไม่ว่าจะเกิดผลกระทบด้านบวกหรือด้านลบ และเตรียมเดินทางเยือนสหรัฐฯช่วงเดือน ก.พ.นี้ เพื่อเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย
ซึ่งสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้ว่า สินค้าไทยที่เสี่ยงอาจถูกสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษี มี 29 กลุ่ม เพราะตั้งแต่ปี 61-66 สหรัฐฯขาดดุลการค้าไทยมาโดยตลอด เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, เครื่องโทรศัพท์มือถือ, โซลาร์เซลล์, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การเจรจากับสหรัฐฯในการรักษาผลประโยชน์ของชาติบรรลุผล สภาพัฒน์ เสนอให้ไทยจับมืออาเซียน เจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองที่ดีกว่าเจรจาประเทศเดียว เพราะไทยเล็กเกินไปที่สหรัฐฯจะเจรจาด้วย
นโยบายทรัมป์ 2.0 จะป่วนโลกขนาดไหน และการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด!!
ฟันนี่เอส
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม