อัยการจากรัฐฝั่งเดโมแครตนับสิบรัฐ ร่วมกันยื่นฟ้องศาล เพื่อต้านคำสั่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่ต้องการยกเลิกการให้สัญชาติโดยกำเนิด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการ นอกจากนั้น เขายังลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารหลายสิบฉบับเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศตามที่ได้ให้สัญญาไว้ตอนหาเสียง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การยกเลิกการให้สัญชาติโดยกำเนิด
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวระบุว่า จะมีผลกับเด็กที่เกิดหลังจากมีการออกคำสั่ง 30 วัน โดยเด็กที่เข้าข่ายคือเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นผู้อยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐฯ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ผู้เป็นมารดาต้องอยู่ในสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว เช่น อยู่ด้วยวีซ่า และบิดาไม่ใช่คนอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม ในวันอังคารอัยการจากรัฐฝั่งเดโมแครต 18 รัฐ ร่วมกันยื่นคำร้องศาลรัฐบาลกลางรัฐแมสซาชูเซตส์ เพื่อขัดขวางคำสั่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนที่รัฐบาลจะได้บังคับใช้ โดยระบุว่า คำสั่งพิเศษดังกล่าว ละเมิดรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 14 ซึ่งระบุว่าใครก็ตามที่เกิดในแผ่นดินสหรัฐฯ ให้ถือว่าเป็นพลเมืองอเมริกัน
“ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีจะมีอำนาจกว้างขวางในการวางนโยบายคนเข้าเมือง แต่ว่าคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติอยู่นอกเหนือจากกรอบอำนาจทางกฎหมายของประธานาธิบดี” เอกสารคำฟ้องระบุ
อนึ่ง การเพิกถอนสิทธิ์ในการได้สัญชาติโดยกำเนิดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นสิทธิ์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และในอดีตศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ก็เคยมีคำพิพากษาปกป้องสิทธิ์นี้มาแล้วถึง 2 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีกฎหมายรัฐบาลกลางที่ผ่านโดยสภาคองเกรส ก่อนหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 ในปี 2411 อยู่ด้วย
...
เรื่องนี้จึงอาจกลายเป็นการต่อสู้ในชั้นศาลครั้งใหญ่คดีแรกของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดยเอกสารคำฟ้องถูกยื่นต่อศาลรัฐบาลกลางแมสซาชูเซตส์ หมายความว่า การอุทธรณ์คำตัดสินใดๆ จะต้องผ่านศาลอุทธรณ์สำหรับเขตพิจารณาคดีที่ (First Circuit Court) ซึ่งผู้พิพากษาทุกคนอยู่ฝั่งเดโมแครต
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn