TikTok เริ่มกลับมาให้บริการในสหรัฐฯ อีกครั้งแล้ว หลังจอดำไปหลายชั่วโมง เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ รับปากว่าจะใช้คำสั่งพิเศษเลื่อนการแบนแอปพลิเคชันนี้ออกไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า TikTok เริ่มกลับมาให้บริการผู้ใช้งานกว่า 170 ล้านคนในสหรัฐฯ อีกครั้งแล้วในวันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. 2568 หลังหยุดให้บริการไปหลายชั่วโมงตั้งแต่เมื่อคืนวันเสาร์ เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ รับปากว่าเขาจะใช้คำสั่งพิเศษเลื่อนการแบนแอปพลิเคชันนี้ออกไป หลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.นี้
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบนแอป TikTok เมื่อเดือนเมษายนปี 2567 ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง จากความกังวลว่าข้อมูลผู้ใช้งานอาจถูกเก็บและมอบให้แก่รัฐบาลจีน ซึ่งกฎหมายให้เวลาบริษัท ไบท์แดนซ์ เจ้าของ TikTok 9 เดือน จนถึง 19 ม.ค. 2568 เพื่อหาผู้ซื้อกิจการที่สหรัฐฯ ยอมรับ มิเช่นนั้นจะถูกแบนจากการให้บริการในสหรัฐฯ
แต่เมื่อเส้นตายใกล้เข้ามา ไบท์แดนซ์พยายามขอความชัดเจนจากรัฐบาล โจ ไบเดน ที่กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ว่าสหรัฐฯ จะบังคับใช้คำสั่งแบนหลังเส้นตายผ่านพ้นหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายไบท์แดนซ์ก็มองว่ารัฐบาลไบเดนไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนเพียงพอ พวกเขาจึงเลือกที่จะหยุดให้บริการด้วยตัวเองในคืนวันเสาร์ที่ 18 ม.ค. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
เมื่อคืนวันเสาร์ ผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ ต่างได้รับข้อความแจ้งว่าพวกเขาจะไม่สามารถใช้งานแอปได้ในตอนนี้ เนื่องจากกฎหมายแบนของสหรัฐฯ ขณะที่เว็บไซต์ของ TikTok ก็ไม่แสดงคลิปวิดีโอใดๆ
อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นวันเส้นตายตามที่กฎหมายขีดเอาไว้ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ก็ออกมาให้คำมั่นว่าจะใช้คำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารเพื่อขยายเส้นตายออกไป หลังจากเขารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.นี้ และจะไม่มีบทลงโทษต่อบริษัทที่ช่วยไม่ให้ TikTok จอดำก่อนคำสั่งจะบังคับใช้
...
หลังจากนั้นไม่นาน TikTok ก็ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าพวกเขากำลังฟื้นฟูบริการในสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับขอบคุณโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ความชัดเจนและรับประกันว่าพวกเขาจะไม่เผชิญบทลงโทษทางกฎหมายในการให้บริการ TikTok แก่ชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านคน และทำให้ธุรกิจขนาดเล็กกว่า 7 ล้านเจ้าดำเนินต่อไปได้
อนึ่ง กฎหมายแบน TikTok อนุญาตให้ขยายเส้นตายออกไปได้ 90 วัน แต่ยังไม่แน่ชัดว่า TikTok หรือนายทรัมป์มีแผนเรื่องการหาเจ้าของใหม่ของ TikTok อย่างไร
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cbsnews