• คลองปานามา ได้กลายเป็นจุดสนใจของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อีกครั้ง เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกร้องให้สหรัฐฯ กลับมาควบคุมคลองนี้อีกครั้ง โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของคลองนี้ต่อสหรัฐฯ
  • การค้าทางทะเลทั่วโลกราว 6% ใช้เส้นทางผ่านคลองปานามา ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของสหรัฐฯ ในแต่ละปี ใช้คลองปานามาประมาณ 40% ในขณะที่สหรัฐฯ ก็เป็นผู้ใช้คลองปานามารายใหญ่ที่สุดเช่นกัน ในปี 2021 โดยเรือมากกว่า 73% ที่ผ่านคลองปานามา กำลังมุ่งหน้าไปหรือมาจากท่าเรือของสหรัฐฯ
  • ข้ออ้างอีกประการหนึ่งของทรัมป์ที่ว่า จีนกำลังพยายามควบคุมปานามาและเขตคลองปานามามากขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล ในปี 2017 ปานามาได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมที่เน้นย้ำว่าจะไม่รักษาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวัน ที่พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนอ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง นับตั้งแต่นั้นมา อิทธิพลของจีนในพื้นที่รอบคลองปานามาก็เพิ่มมากขึ้น

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าสหรัฐฯ ควรยึดคลองปานามาคืน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกปฏิเสธทันทีโดยรัฐบาลปานามา ซึ่งควบคุมช่องทางผ่านคลองนี้มานานหลายทศวรรษ

ในโพสต์บนโซเชียลมีเดียและคำกล่าวต่อผู้สนับสนุน ทรัมป์กล่าวหาปานามาว่าเรียกเก็บ "ค่าธรรมเนียมที่สูงเกินจริง" จากสหรัฐฯ ในการใช้คลองดังกล่าว และแย้มว่าจีนมีอิทธิพลมากขึ้นในเส้นทางสัญจรทางน้ำสำคัญสายนี้

ทรัมป์เขียนบน Truth Social เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ว่า "ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้สาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สหรัฐฯ มอบให้แก่ปานามา"

คลองที่สหรัฐฯ สร้าง เปิดใช้ในปี 1914 และอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ จนกระทั่งมีข้อตกลงในปี 1977 ที่กำหนดให้มีการส่งมอบคลองนี้ฝ่ายให้กับปานามา ทั้งสองประเทศดำเนินการร่วมกันในคลองนี้จนกระทั่งรัฐบาลปานามาสามารถควบคุมคลองได้อย่างสมบูรณ์หลังปี 1999

...

คลองนี้ถูกส่งมอบให้กับปานามาภายใต้สนธิสัญญาตอร์ริโฆส–คาร์เตอร์ (Torrijos-Carter) เป็นสนธิสัญญา 2 ฉบับ ที่ลงนามโดยสหรัฐอเมริกาและปานามาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 7 กันยายน 1977 ซึ่งเข้ามาแทนที่สนธิสัญญาเฮย์-บูเนา-วาริญญา (Hay–Bunau-Varilla) ในปี 1903 สนธิสัญญาดังกล่าวตั้งชื่อตามผู้ลงนาม 2 ราย ได้แก่ ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายพลโอมาร์ ตอร์ริโฆส ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันแห่งชาติปานามา 

ทรัมป์กล่าวต่อกลุ่มคนหนุ่มสาวอนุรักษ์นิยมในเมืองฟีนิกซ์ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ว่า หากไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของข้อตกลงดังกล่าว "เราจะเรียกร้องให้สหรัฐฯ คืนคลองปานามา" ดังนั้น จึงขอให้เจ้าหน้าที่ของปานามาโปรดปฏิบัติตามด้วย”

ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จริงจังกับคำขู่ที่จะยึดคลองปานามาคืนมากเพียงใด แม้ว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดว่าสหรัฐฯ ได้รับข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมก็ตาม ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ไม่ได้ชี้แจงว่าเขาจะบังคับให้ประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยและเป็นมิตรต้องสละดินแดนของตนเองได้อย่างไร

และรัฐบาลปานามาเองก็ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเสนอของทรัมป์

ประธานาธิบดีโฆเซ ราอุล มูลิโน ผู้นำปานามา กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ในฐานะประธานาธิบดี ผมต้องการแสดงอย่างชัดเจนว่าทุกตารางเมตรของคลองปานามาและพื้นที่โดยรอบเป็นของปานามา และจะยังคงเป็นต่อไป" เขากล่าวเสริมว่า "อำนาจอธิปไตยและเอกราชของประเทศเรานั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้"

โดนัลด์ ทรัมป์ / ประธานาธิบดีโฆเซ ราอุล มูลิโน
โดนัลด์ ทรัมป์ / ประธานาธิบดีโฆเซ ราอุล มูลิโน

ประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากและอันตราย


ก่อนที่คลองจะเสร็จสมบูรณ์ เรือที่เดินทางระหว่างชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกของทวีปอเมริกาจะต้องเดินทางอ้อมแหลมฮอร์น ซึ่งอยู่บริเวณปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้ ทำให้ต้องเพิ่มระยะทางการเดินทางหลายพันไมล์และใช้เวลาเดินทางนานหลายเดือน

การสร้างช่องทางที่จะทำให้การเดินทางสั้นลง เป็นเป้าหมายที่ยากจะบรรลุของอาณาจักรหลายแห่งที่มีประเทศอาณานิคมในทวีปอเมริกา

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ ของสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างช่องทางการเดินทางให้เสร็จสมบูรณ์ ดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของสาธารณรัฐโคลอมเบียในขณะนั้น แต่การก่อกบฏที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ส่งผลให้ปานามาและโคลอมเบียแยกออกจากกัน และมีการก่อตั้งสาธารณรัฐปานามาขึ้นในปี 1903 สหรัฐฯ และสาธารณรัฐที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ลงนามในสนธิสัญญาในปีนั้น ซึ่งให้สหรัฐฯ ควบคุมพื้นที่ 10 ไมล์เพื่อสร้างคลอง โดยแลกกับการชดใช้เงิน

คลองดังกล่าวสร้างเสร็จในปี 1914 ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกามีสถานะเป็นมหาอำนาจด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียชีวิตมหาศาล มีผู้เสียชีวิตราว 5,600 คน จากการที่สหรัฐฯ สร้างคลองดังกล่าว

คลองดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์ด้านการใช้สอยจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อถูกใช้เป็นเส้นทางสำคัญในการทำสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และปานามาก็ค่อยๆ เสื่อมลง จากความขัดแย้งเกี่ยวกับการควบคุมคลอง การปฏิบัติต่อคนงานชาวปานามา และคำถามว่าควรชักธงสหรัฐฯ และปานามาร่วมกันเหนือเขตคลองหรือไม่

ความตึงเครียดดังกล่าวถึงจุดสูงสุดในวันที่ 9 มกราคม 1964 เมื่อเกิดการจลาจลต่อต้านอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายในเขตคลอง และความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศก็ถูกตัดขาดชั่วคราว

...

การเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ยุติธรรมมากขึ้นเป็นเวลานานหลายปี นำไปสู่การทำสนธิสัญญา 2 ฉบับ ในช่วงที่ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ดำรงตำแหน่ง ข้อตกลงดังกล่าวประกาศให้คลองเป็นกลางและเปิดให้เรือทุกลำเข้าได้ และให้สหรัฐฯ และปานามาควบคุมดินแดนร่วมกันจนถึงสิ้นปี 1999 ซึ่งปานามาจะได้เข้าควบคุมอย่างเต็มที่

ปธน.คาร์เตอร์ กล่าวกับชาวอเมริกันหลังจากลงนามสนธิสัญญาว่า "เนื่องจากเราควบคุมพื้นที่กว้าง 10 ไมล์ ซึ่งอยู่ใจกลางประเทศของพวกเขา และเนื่องจากพวกเขามองว่าเงื่อนไขเดิมของข้อตกลงนั้นไม่ยุติธรรม ประชาชนปานามาจึงไม่พอใจกับสนธิสัญญา" "สนธิสัญญานี้ร่างขึ้นในประเทศของเราและไม่ได้ลงนามโดยชาวปานามาคนใดเลย"

ประธานาธิบดีในขณะนั้นกล่าวเสริมว่า "แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ มีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงกิจการภายในของปานามา และการดำเนินการทางทหารของเราจะไม่มุ่งเป้าไปที่บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเอกราชทางการเมืองของปานามา"

ไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนแผนของนายคาร์เตอร์ ในสุนทรพจน์เมื่อปี 1976 นายโรนัลด์ เรแกน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในขณะนั้นกล่าวว่า "ประชาชนชาวสหรัฐฯ" คือ "เจ้าของโดยชอบธรรมของเขตคลอง"

...

ความตึงเครียดเกี่ยวกับคลองดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ภายใต้การปกครองของ ปธน.มานูเอล นอริเอกา ซึ่งถูกปลดออกจากอำนาจหลังจากที่สหรัฐฯ บุกปานามา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สงครามกับยาเสพติด"

ปัญหาสมัยใหม่

ไม่นานหลังจากที่ชาวปานามาสามารถควบคุมคลองได้ทั้งหมดในปี 2000 ปริมาณการขนส่งก็เกินความจุของทางน้ำอย่างรวดเร็ว โครงการขยายคลองปานามาครั้งใหญ่เริ่มขึ้นในปี 2007 และแล้วเสร็จเกือบทศวรรษต่อมา

การค้าทางทะเลทั่วโลกราว 6% ใช้เส้นทางผ่านคลองปานามา ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของสหรัฐฯ ในแต่ละปี ใช้คลองปานามาประมาณ 40% ในขณะที่สหรัฐฯ ก็เป็นผู้ใช้คลองปานามารายใหญ่ที่สุดเช่นกัน ในปี 2021 โดยเรือมากกว่า 73% ที่ผ่านคลองปานามา กำลังมุ่งหน้าไปหรือมาจากท่าเรือของสหรัฐฯ

แต่พื้นที่รอบคลองปานามากำลังประสบกับภัยแล้งรุนแรง ส่งผลให้ระดับน้ำลดลง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำงานอย่างเหมาะสม เจ้าหน้าที่ได้กำหนดข้อจำกัดการจราจรและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นในการผ่านคลอง

ค่าธรรมเนียมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทรัมป์มีต่อคลองปานามา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ได้กล่าวถึงค่าธรรมเนียมดังกล่าวว่า "ไร้สาระ" และ "ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สหรัฐฯ มอบให้ปานามาอย่างไม่สมควร ฉันพูดได้เลยว่าโง่เขลามาก"

...

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นด้านเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว ถ้อยแถลงของทรัมป์ยังสะท้อนถึงความวิตกกังวลในวงกว้างเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนที่ขยายตัวในภูมิภาค ข้ออ้างอีกประการหนึ่งของทรัมป์ที่ว่าจีนกำลังพยายามควบคุมปานามาและเขตคลองมากขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล ในปี 2017 ปานามาได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมที่เน้นย้ำว่าจะไม่รักษาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยปกครองตนเองที่พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนอ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง นับตั้งแต่นั้นมา อิทธิพลของจีนในพื้นที่รอบคลองก็เพิ่มมากขึ้น โดยจีนได้เพิ่มความเข้มข้นในการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการลงทุนอย่างมากในโครงการโครงสร้างพื้นฐานใกล้คลองปานามา

กองบัญชาการภาคใต้ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนของจีน โดยเน้นย้ำต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่า การลงทุนดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ การที่จีนควบคุมท่าเรือทั้งสองฝั่งของคลองปานามา ผ่านบริษัทฮัทชิสัน พอร์ตส์ พีพีซี ซึ่งเป็นบริษัทในฮ่องกงที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจีน ทำให้เกิดความกังวลดังกล่าวขึ้น การควบคุมดังกล่าวทำให้จีนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญต่อประสิทธิภาพของคลอง

นอกจากนั้น ยังเกิดข้อกังวลด้านความปลอดภัยว่า จีนอาจนำเทคโนโลยีด้านการเฝ้าระวังไว้ในโครงสร้างพื้นฐานของคลอง ซึ่งอาจใช้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวทางเรือและเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ ซึ่งอาจทำให้ความเสี่ยงด้านยุทธศาสตร์ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากอาจให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญแก่จีนเกี่ยวกับการขนส่งและปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ

ด้านประธานาธิบดีปานามา กล่าวตอบโต้คำพูดของทรัมป์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า "อัตราภาษีไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ชั่ววูบ" นอกจากนี้ เขายังปฏิเสธความคิดที่ว่าจีนใช้อำนาจควบคุมคลองอย่างเปิดเผย

มูลิโนกล่าวในแถลงการณ์ว่า "คลองปานามาไม่มีอำนาจควบคุมโดยตรงหรือโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นจากจีน ประชาคมยุโรป สหรัฐอเมริกา หรืออำนาจอื่นใด"

คำพูดของทรัมป์ ถือเป็นกรณีล่าสุดของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่แสดงความปรารถนาที่จะได้มา หรือขู่ว่าจะยึดครองหรือบุกรุกดินแดนที่เป็นของมหาอำนาจต่างชาติที่เป็นมิตร

นับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ทรัมป์ได้กล่าวเยาะเย้ยนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ด้วยการเสนอให้ประเทศของเขาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดที่สหรัฐฯ จะซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์กหลายครั้ง รัฐบาลกรีนแลนด์กล่าวว่า กรีนแลนด์ "ไม่ได้มีไว้ขาย"

แต่ทรัมป์ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนใจ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ได้ฟื้นแนวคิดดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้งในขณะการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเดนมาร์ก ทรัมป์กล่าวว่า "เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติและเสรีภาพทั่วโลก สหรัฐฯ รู้สึกว่าการเป็นเจ้าของและควบคุมกรีนแลนด์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง".

ที่มา CNN

อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign