กลุ่มพันธมิตรกบฏในซีเรียยึดเมืองใหญ่แห่งที่ 2 ได้สำเร็จ โดยกองทัพรัฐบาลถอนกำลังออกจากเมืองแล้ว หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายอาบู โมฮัมเหม็ด อัล-จอว์ลานี ผู้นำกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “ฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม” (HTS) ประกาศชัยชนะที่เมืองฮามา ทางตะวันตกของซีเรีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ธ.ค. 2567 และประกาศว่า จะไม่มีการ “แก้แค้น” เกิดขึ้นตามมา
ก่อนหน้านี้ ผู้บัญชาการคนหนึ่งของกองกำลังฝ่ายกบฏ ระบุว่า นักรบของ HTS ยึดเรือนจำกลางเมืองฮามา และปล่อยตัวนักโทษที่ถูกคุมขังอย่างไม่ถูกต้องจำนวนหลายร้อยคน และว่าพวกเขาจะส่งนักรบไปประจำการ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน และป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ภายในเมือง
ทั้งนี้ เมืองฮามา เป็น 1 ใน 4 เมืองใหญ่ของซีเรีย ร่วมกับกรุงดามัสกัส, เมืองฮอมส์ และเมืองอเลปโป ซึ่งฝ่ายกบฏเข้ายึดได้เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยมีประชากรประมาณ 1 ล้านคน อยู่ห่างจากเมืองอเลปโปไปทางใต้ราว 110 กม. ฮามายังเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากเป็นเส้นทางส่งเสบียงโดยตรงระหว่างกรุงดามัสกัสกับเมืองอเลปโปด้วย
ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายกบฏฝากข้อความถึงประชาชนในเมืองฮอมส์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองอเลปโปด้วยว่า “เวลาของพวกคุณมาถึงแล้ว” ทำให้เชื่อว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือการบุกยึดเมืองแห่งนี้
ด้านกลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรีย (SOHR) การต่อสู้ระหว่างกองทัพรัฐบาลกับฝ่ายกบฏที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ 8 วันก่อน โดยมีกลุ่ม HTS เป็นผู้นำพันธมิตรฝ่ายกบฏ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 720 ศพ เป็นพลเรือน 111 ศพ
ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ประกาศกร้าวว่าจะบดขยี้กลุ่มกบฏ และกล่าวหามหาอำนาจตะวันตกว่า พยายามจะวาดแผนที่ใหม่ในตะวันออกกลาง ขณะที่รัสเซียกับอิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของพวกเขา ประกาศจะให้การสนับสนุนซีเรียอย่างไม่มีเงื่อนไข
...
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เครื่องบินรบของรัสเซียยกระดับการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ที่ฝ่ายกบฏยึดครอง ขณะที่กลุ่มติดอาวุธซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ส่งนักรบไปช่วยเสริมกำลังแก่กองทัพรัฐบาลซีเรีย โดยอิหร่านบอกด้วยว่า พวกเขาพร้อมส่งนักรบเข้าไปเพิ่ม หากฝ่ายซีเรียร้องขอ
ด้านตุรกี ซึ่งสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียมาตลอด ปฏิเสธการมีส่วนร่วมกับการโจมตีของกลุ่มพันธมิตรกบฏ แต่เรียกร้องให้นายอัสซาดเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองกับฝ่ายต่อต้าน เพื่อยุติสงครามกลางเมืองในซีเรีย ซึ่งดำเนินมานาน 13 ปีแล้วเสียที
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc