เหลืออีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมาถึง แต่คะแนนของทั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส ยังคงสูสี ทั้งในระดับประเทศและในรัฐสวิงสเตท

ผลโพลล่าสุดชีวิตคะแนนนิยมของทั้งคู่ไม่ห่างกันเลย อยู่ในขอบเขตความคลาดเคลื่อน ที่นายทรัมป์หรือแฮร์ริสอาจเป็นผู้นำ ด้วยคะแนน 2-3 จุดก็ได้ แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดก็ตาม ก็ล้วนมีเหตุผลสนับสนุน ที่ทำให้ทรัมป์หรือแฮร์ริสกลายเป็นผู้ชนะ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหรัฐอเมริกา

5 เหตุผลที่อาจทำให้ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง

1.ทรัมป์ไม่ได้อยู่ในอำนาจ

เศรษฐกิจเป็นปัญหาอันดับ 1 ที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสหรัฐฯ พิจารณาเพื่อเลือกผู้นำคนถัดไปของพวกเขา ซึ่งในตอนนี้ แม้ว่าอัตราว่างงานจะต่ำและตลาดการเงินกำลังเฟื่องฟู แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่า พวกเขาต้องดิ้นรนกับราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน

อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ยุค 70 ปี โดยเป็นผลกระทบระยะยาวจากการระบาดของโควิก-19 เมื่อหลายปีก่อน เกิดโอกาสให้โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานรัฐบาล และถามว่า “พวกคุณดีขึ้นจากเมื่อ 4 ปีก่อนหรือยัง?”

ในปี 2567 นี้ เกิดการเลือกตั้งใหญ่ในหลายประเทศ และฝ่ายที่เป็นรัฐบาลอยู่มักพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินเฟ้อ, ผลกระทบหลังโควิด และค่าครองชีพ และผู้โหวตชาวอเมริกันก็มีท่าทีกระหายที่จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ผลสำรวจความคิดเห็นของ แกลลัป (Gallup) ในเดือนตุลาคม 2567 ชี้ว่า มีชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่พอใจกับทิศทางของประเทศ และ 2 ใน 3 คาดว่าเศรษฐกิจจะเลวร้ายลงไปอีก ซึ่งแฮร์ริสพยายามจะแสดงให้เห็นว่า เธอไม่ใช่ โจ ไบเดน แต่จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังสลัดภาพของไบเดนออกไปไม่ได้เสียที

...

2.ทรัมป์สะทกสะท้ายต่อข่าวร้าย

นายทรัมป์เผชิญข่าวอื้อฉาวมากมาย โดยเฉพาะหลังการจลาจลที่อาคารสภาคองเกรสเมื่อ 6 ม.ค. 2564 จากนั้นเขาก็ถูกฟ้องร้องหลายสิบคดี และถึงขั้นกลายเป็นอดีตประธานาธิบดีคนแรก ที่ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิด แต่การสนับสนุนของโดนัลด์ ทรัมป์ ในสหรัฐฯ ก็ยังสูงกว่า 40% มาตลอด

เดโมแครตและฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ “ไม่เอาโดนัลด์ ทรัมป์” พยายามจะบอกว่า เขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำสหรัฐอเมริกา แต่ชาวรีพับลิกันส่วนใหญ่กลับเห็นด้วยตอนที่นายทรัมป์บอกว่า เขสเป็นเหยื่อการล่าแม่มดทางการเมือง

ตอนนี้ นายทรัมป์ต้องการคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้โหวตที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาจะชนะการเลือกตั้ง โดยไม่ต้องมาคอยแก้ไขเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย

3.ชาวอเมริกันเห็นด้วยกับทรัมป์ เรื่องผู้อพยพผิดกฎหมาย

นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว การเลือกตั้งสหรัฐฯ มักตัดสินกันด้วยปัญหาที่มีอารมณ์ความรู้สึกของผู้โหวตเข้ามามีส่วนร่วม

เดโมแครตเป็นความหวังเรื่องนโยบายทำแท้งของสตรี ส่วนนายทรัมป์ เดิมพันเรื่องผู้อพยพ ซึ่งหลังจากจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองพุ่งสูงทุบสถิติในยุคของไบเดน และการเข้ามาของคนกลุ่มนี้ส่งผลกระทบในรัฐต่างๆ ไปไกลเกินพื้นที่ชายแดน ผู้โหวตก็เริ่มเชื่อใจโดนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องผู้อพยพมากขึ้น

และเขาทำคะแนนในจากกลุ่มชาวลาตินอเมริกันได้ดีกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนด้วย

4.คนไม่มีปริญญามีมากกว่าคนที่มี

นายทรัมป์เรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่รู้สึกว่าตัวเองถูกลืมและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ให้มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงการเมือง ด้วยการเปลี่ยนเขตเลือกตั้งที่ปกติเป็นฐานเสียงของเดโมแครต ให้กลายเป็นของรีพับลิกัน และพูดเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมของอเมริกันด้วยการตั้งกำแพงภาษี จนเกือบจะกลายเป็นเรื่องปกติ

หากทรัมป์กระตุ้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในแถบชนบทของรัฐสวิงสเตทให้ออกมาใช้สิทธิ์ได้สำเร็จ เขาก็อาจชดเชยจากการเสียคะแนนจากกลุ่มรีพับลิกันสายกลางและมีการศึกษาสูงได้

5.ทรัมป์ถูกมองว่า เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ในโลกที่ไม่มันคง

ฝ่ายตรงข้ามของนายทรัมป์ โจมตีอดีตประธานาธิบดีรายนี้ว่า บ่อนทำลายพันธมิตรของอเมริกา ด้วยการไปตีสนิทกับพวกผู้นำเผด็จการ แต่นายทรัมป์มองว่า ความคาดเดาไม่ได้ของตัวเขาเอง คือความได้เปรียบ และชี้ว่า ในตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดี ไม่มีสงครามใหญ่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เลย

ตอนนี้ชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังไม่พอใจ ที่สหรัฐฯ ต้องส่งเงินหลายพันล้านให้แก่ยูเครนแลอิสราเอล และคิดว่าอเมริกาอ่อนแอลงภายใต้การปกครองของไบเดน นอกจากนั้น ผู้โหวตส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายที่ก็มองว่านายทรัมป์ เป็นผู้นำที่เข้มแข็งกว่าแฮร์ริสไปแล้ว

5 เหตุผลที่อาจทำให้แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง

1.แฮร์ริสไม่ใช่ทรัมป์

แม้ว่านายทรัมป์จะมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แต่เขาก็ยังคงเป็นตัวตนที่ทำให้เกิดการแบ่งฝักฝ่าย

ในปี 2563 นายทรัมป์ได้คะแนนโหวตจากประชาชนทุบสถิติมากที่สุดของฝ่ายรีพับลิกัน แต่กลับพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพราะมีชาวอเมริกันโหวตให้ไบเดน มากกว่าเขาถึง 7 ล้านคน

คราวนี้ แฮร์ริสก็กำลังเล่นกับปัจจัยที่น่ากังวล หากนายทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เธอกล่าวหานายทรัมป์ว่าเป็นพาก ฟาสซิสต์ และเป็นภัยต่อประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าเธอจะก้าวข้ามเรื่องดราม่า และความขัดแย้งต่างๆ

ผลสำรวจความคิดเห็นของ รอยเตอร์ส/อิปซอส เมื่อเดือนกรกฎาคมชี้ว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 5 รู้สึกว่า ประเทศกำลังหลุดออกนอกการควบคุม และแฮร์ริสกำลังหวังให้ผู้โหสต์ โดยเฉพาะฝ่ายรีพับลิกันสายกลางที่ต่อต้านนายทรัมป์ และผู้โหวตอิสราเอล มองว่าเธอเป็นตัวเลือกที่มีความมั่นคงมากกว่า

...

2.แฮร์ริสไม่ใช่ไบเดน

ก่อนที่ไบเดนจะถอนตัวจากการเลือกตั้ง เดโมแครตอยู่ในสถานะที่ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งของพวกเขานั้นเกือบจะแน่นอน แต่ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ เดโมแครตก็รวมเป็นหนึ่งช่วยกันผลักดันแฮร์ริส จนมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นตามมาอย่างรวดเร็ว แม้จะเข้าสู่สนามที่หลัง

ฝ่ายรีพับลิกันพยายามจะโยงเธอเข้ากับนโยบายซึ่งไม่เป็นที่นิยมของ โจ ไบเดน แต่แฮร์ริสทำให้เห็นว่า ข้อครหาของไบเดนบางอย่างก็เกินจริงเกินไป

ที่ชัดที่สุดคือเรื่องอายุ ผลสำรวจชี้ว่า สิ่งที่ผู้โหวตมักกังวลที่สุดเกี่ยวกับไบเดนคือเรื่องสุขภาพของไบเดน ว่าจะเหมาะสมทำหน้าที่ประธานาธิบดีหรือไม่ แต่ตอนนี้เกมพลิกแล้ว นายทรัมป์กลายเป็นฝ่ายที่ต้องถูกตั้งคำถามนี้ เพราะหากเขาชนะ ทรัมป์ในวัย 79 ปี จะกลายเป็นบุคคลอายุมากที่สุดที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

3.แฮร์ริสเป็นนักสู้เพื่อสิทธิสตรี

นี่เป็นการเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรกหลังจากศาลสูงสุดคว่ำคำตัดสินคดี โรกับเวด ซึ่งเป็นคดีตัวอย่างที่ถูกใช้เพื่อรับรองสิทธิ์ในการทำแท้งของสตรี

ผู้โหวตที่กังวลเรื่องการปกป้องสิทธิ์การทำแท้งให้การสนับสนุนแฮร์ริสอย่างท่วมท้น และมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในอดีต เช่นการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2565 ที่ปัญหานี้สามารถผลักดันให้ผู้โหวตออกมาใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งอย่างแท้จริง

คราวนี้ 10 รัฐรวมถึงแอริโซนา จะมีบัตรเลือกตั้งที่ถามผู้โหวตว่า ควรกำกับดูแลเรื่องการทำแท้งอย่างไร ซึ่งนี่อาจช่วยเพิ่มจำนวนการออกมาใช้สิทธิ์และจำนวนผู้ที่สนับสนุนแฮร์ริสได้

นอกจากนั้น ความเป็นไปได้ที่เธอจะกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงของแรกของสหรัฐฯ ก็อาจช่วยดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มสตรีได้มากเช่นกัน

...

4.ผู้สนับสนุนแฮร์ริส มีโอกาสออกมาใช้สิทธิ์จริงๆ มากกว่า

เดโมแครตทำได้ดีกว่ารีพับลิกันเรื่องจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์มาโดยตลอด และกลุ่มผู้สนับสนุนแฮร์ริสในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และผู้สูงอายุ ก็มีแนวโน้มออกมาใช้สิทธิ์จริงๆ มากกว่า แค่ลงทะเบียนไว้เฉยๆ

ส่วนนายทรัมป์ เขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่มีอัตราการออกมาใช้สิทธิ์ต่ำกว่า อย่างกลุ่มคนหนุ่ม และผู้ที่ไม่จบการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในการเลือกตั้งปี 2563 ตอนนั้นนายทรัมป์นำในเรื่องจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ แต่พอถึงวันจริง เขากลับแพ้ด้วยคะแนนห่างถึง 7 ล้านเสียง

5.แฮร์ริสระดมทุนและใช้เงินมากกว่า

เป็นที่รู้กันดีว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นใช้เงินมหาศาล และในปี 2567 นี้ ก็กำลังจะกลายเป็นปีที่มีการใช้เงินมากที่สุด

แต่หากเป็นในเรื่องกำลังจ่าย แฮร์ริสได้เปรียบฝ่ายโดนัลด์ ทรัมป์ นับตั้งแต่ขึ้นมาเป็นแคนดิเดทในเดือนกรกฎาคมจนถึงตอนนี้ เธอระดมทุนได้มากกว่าที่โดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้ตั้งแต่เดือมกราคม 2566 และทีมหาเสียงของเธอก็ใช้งบประมาณในการโฆษณามากกว่านายทรัมป์เกือบเท่าตัว

การเพิ่มความตระหนักรู้แบบนี้ อาจมีส่วนช่วยในการแข่งขันที่มีความใกล้เคียงมากๆ เช่นนี้ ซึ่งในท้ายที่สุด ผู้ที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ก็คือผู้โหวตในรัฐสวิงสเตท ที่ตอนนี้กำลังถูกถล่มด้วยโฆษณาจากผู้สมัครทั้ง 2 ฝ่าย

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ได้ที่ ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/uselection2024

...

ที่มา : bbc