เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: มิเชลล์ โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงเพื่อปกป้องประเทศจาก "อันตราย" ของโดนัลด์ ทรัมป์
มิเชลล์ โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวในการปรากฏตัวครั้งแรกในระหว่างการหาเสียงร่วมกับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส โดยเรียกร้องให้ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงเพื่อปกป้องประเทศจาก "อันตราย" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่เผ็ดร้อนในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐสมรภูมิสำคัญ นางโอบามายังกล่าวว่า ตามความรู้สึกของเธอ การเลือกตั้งครั้งนี้ "สูสีเกินไป"
ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังหาเสียงในรัฐมิชิแกนเช่นกัน ให้คำมั่นว่าจะปลุกชีวิตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐมิชิแกน และพบปะกับชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับที่เขากล่าวว่าสามารถ "พลิกผลการเลือกตั้ง" ได้
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนมีการแข่งขันที่สูสีกันในรัฐมิชิแกน โดยแฮร์ริสมีคะแนนนำเพียงเล็กน้อย 10 วันก่อนการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 15 คะแนน อาจให้ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งได้เปรียบชี้ขาด
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในปี 2020 ในรัฐมิชิแกน ด้วยคะแนนห่างกันเพียงเล็กน้อยที่ 2.78% หรือประมาณ 150,000 คะแนน ช่วยให้เขาสามารถขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้ ส่วนในปี 2016 รัฐลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์น้อยกว่านางฮิลลารี คลินตัน ถึง 0.23%
ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อฝูงชนนับพันที่สถานที่จัดงานในเมืองคาลามาซู นางโอบามาได้โจมตีทรัมป์หลายครั้ง โดยชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เธอเรียกว่า "พฤติกรรมผิดปกติ" และ "ความเสื่อมถอยทางจิตที่ชัดเจน" ของเขา อย่างไรก็ตาม สุนทรพจน์ส่วนใหญ่ของเธอเน้นไปที่ "ความกลัวอย่างแท้จริง" ว่ารัฐบาลของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อสิทธิในการทำแท้งอย่างไร โดยบอกกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากว่า เธอเชื่อว่าการไม่ลงคะแนนให้คามาลา แฮร์ริส อาจนำไปสู่ผลร้ายแรง
...
ผู้สนับสนุนสิทธิในการทำแท้งหลายคนได้แสดงความกังวลว่าการห้ามทำแท้งคุกคามชีวิตของผู้หญิงโดยปฏิเสธการรักษาทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตพวกเธอไว้
นางโอบามากล่าวว่า "ฉันกังวลอย่างมากที่คนจำนวนมากหลงเชื่อคำโกหกของคนที่ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของพวกเรา" และเสริมว่า "ผลเสียจะส่งผลต่อชีวิตของพวกเราทุกคน"
ด้านแฮร์ริสเห็นด้วยกับความเห็นของโอบามาเป็นอย่างมาก และบอกกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นคนในเจนเนอเรชัน Z ว่า เธอเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึง "ใจร้อน" ต่อการเปลี่ยนแปลง เธอกล่าวว่า "ฉันอยากบอกคุณว่าฉันเห็นคุณและฉันเห็นพลังของคุณ" และสัญญากับฝูงชนว่าเธอจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากกับทรัมป์ที่เธอกล่าวหาว่าสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
แฮร์ริสกล่าวว่า "ในประเทศของเรามีความปรารถนาที่จะมีประธานาธิบดีที่มองเห็นประชาชน ไม่ใช่แค่ส่องกระจกตลอดเวลา แต่มองเห็นประชาชน มองเห็นคนที่เข้าใจคุณ และมองเห็นคนที่ต่อสู้เพื่อคุณ"
ส่วนในการชุมนุมที่เมืองโนวี รัฐมิชิแกน ทรัมป์ยึดมั่นกับคำมั่นสัญญาในการหาเสียงเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน พลังงาน และเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่นอกจากนั้น เขายังมีผู้นำชุมชนอาหรับ-อเมริกันและมุสลิมหลายคนร่วมอยู่บนเวทีด้วย รวมถึงบิล บาซซี นายกเทศมนตรีเมืองดีร์บอร์นไฮต์ส
บาซซีกล่าวว่า "เราสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะเขาสัญญาว่าจะยุติสงครามในตะวันออกกลางและยูเครน การนองเลือดต้องหยุดลงทั่วโลก และฉันคิดว่าชายคนนี้สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้" ด้านทรัมป์กล่าวว่า เขาเชื่อว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอาหรับ-อเมริกัน สามารถ "พลิกผลการเลือกตั้ง" ไปทางใดทางหนึ่งได้
รัฐนี้เป็นที่ตั้งของกลุ่มเคลื่อนไหว "Uncommitted" ซึ่งไม่สนับสนุนทรัมป์ แต่ปฏิเสธที่จะรับรองแฮร์ริส เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าเป็นความล้มเหลวในการแสดงจุดยืนที่หนักแน่นต่ออิสราเอลในช่วงสงครามในฉนวนกาซา เช่น การยืนกรานที่จะแบนเรื่องอาวุธ
อย่างไรก็ตาม ในการชุมนุมของพรรคเดโมแครตที่เมืองคาลามาซู ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางคนกล่าวว่า พวกเขาให้ความสนใจต่อสิทธิในการทำแท้งและการรับรู้ว่าทรัมป์ "ไม่เป็นประชาธิปไตย" มากกว่าเรื่องความขัดแย้งในต่างประเทศ
ผลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศที่ติดตามโดยบีบีซี แสดงให้เห็นว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำเล็กน้อยในระดับประเทศ แม้ว่าทรัมป์จะแซงหน้าไปอย่างหวุดหวิดใน 5 จาก 7 รัฐสมรภูมิสำคัญที่อาจตัดสินผลการเลือกตั้ง
ส่วนเมื่อวันเสาร์ (26 ต.ค.) เป็นวันแรกที่เปิดให้ลงคะแนนเสียงล่วงหน้าได้ทั่วรัฐมิชิแกน โดยมีการส่งบัตรลงคะแนนเสียงไปแล้วมากกว่า 1.4 ล้านใบ คิดเป็นร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงทั้งหมด.
ที่มา BBC
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign