2 พรรคใหญ่ของสหรัฐฯ ครองอำนาจทางการเมืองมาอย่างยาวนานแล้ว และนับตั้งแต่ช่วงยุคปี ค.ศ. 1800 ทั้ง 2 พรรคที่ว่าก็เป็น เดโมแครต กับ รีพับลิกัน มาตลอด ทำไมผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันจึงมีตัวเลือกน้อยลงเรื่อยๆ

ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐอเมริกาเข้าสู่ระดับการเมืองแบบ 2 พรรค ภายในเวลาไม่นานหลังจากก่อตั้งประเทศ ซึ่งความลงรอยกันเรื่องบทบาทของรัฐบาลกลาง และระบบผู้ชนะกินรวบ มีส่วนอย่างยิ่งในการผลักดันการเมืองของสหรัฐฯ ไปสู้ระบบ 2 พรรค

กลุ่มการเมืองยุคแรก

ตอนวางกรอบโครงสร้างรัฐบาลของสหรัฐฯ สมัยก่อตั้งใหม่ๆ ในปี ค.ศ. 1789 รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุถึงพรรคการเมืองใดๆ เลย เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้งประเทศหลายคนไม่เชื่อใจในระบบพรรคอย่างหนัก เช่น อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เรียกพรรคการเมืองว่าเป็น “โรคร้ายที่อันตรายถึงตายมากที่สุด” สำหรับรัฐบาลประชาชน ขณะที่จอร์จ วอชิงตัน เตือนในแถลงการณ์อำลาตำแหน่ง ปี 1796 ว่า กลุ่มการเมืองจะนำไปสู่ระบอบเผด็จการอันน่าหวาดหวั่น

แต่ทว่า ในตอนนั้น การแบ่งกลุ่มทางการเมืองได้เกิดขึ้นแล้วในหมู่คนหนุ่มสาวของอเมริกา โดยในยุคการปกครองของจอร์จ วอชิงตัน กลุ่มหัวกะทิทางการเมืองแยกตัวเองออกมาเป็น 2 ฝ่ายคือ พรรคสมาพันธรัฐ (Federalists) นำโดยนายแฮมิลตัน เป็นพรรคการเมืองแรกของสหรัฐฯ และฝ่ายต่อต้านสมาพันธรัฐ หรือพรรคเดโมเครติก-รีพับลิกัน (Democratic-Republican Party) นำโดยนาย โทมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคแรก

ทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดว่า รัฐบาลกลางใหม่ความมีอำนาจมากแค่ไหนเพื่อเทียบกับอำนาจของรัฐต่างๆ และเรื่องที่ว่า สหรัฐฯ ควรสนับสนุนฝ่ายใดระหว่าง สหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส

...

นายแซม โรเซนเฟลด์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขารัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย คอลเกต ระบุว่า “ผมคิดว่าความคาดหมายและความหวังในตอนนั้นคือ คุณอาจสามารถออกแบบรัฐบาลด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ แยกเรื่องอำนาจออกไป และสร้างนโยบายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมขึ้นมา”

“พวกเขาคาดว่าการมีนโยบายที่ทุกคนเห็นด้วยนั้น เป็นสิ่งดีที่สุด แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผู้คนไม่เห็นด้วย”

การอุบัติของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1800 ซึ่งนายเจฟเฟอร์สันเอาชนะนาย จอห์น อดัมส์ ไปได้ และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของพรรคสมาพันธรัฐ และพวกเขาก็หายไปจากการเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงในช่วงปี 1820 ยุคการ

การหายไปของฝ่ายสมาพันธรัฐ ทำให้พรรคเดโมเครติก-รีพับลิกัน กลายเป็นพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียว ครองอำนาจอย่างยาวนาน ยุคการปกครองของประธานาธิบดี เจมส์ มอนโร (1817-1825) ถึงขั้นถูกเรียกว่า “ยุคสมัยแห่งความรู้สึกดีๆ” เนื่องจากแทบไม่มีการแบ่งแยกในพรรคการเมืองเลย

อย่างไรก็ตาม นายโรเซนเฟลด์ระบุว่า ความขัดแย้งไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ความขัดแย้งเดิมๆ อย่างเรื่องบทบาทของรัฐบาลกลาง และความเข้มแข็งของรัฐบาลกลางงต่อรัฐบาลรัฐ ก็ปรากฏกลับขึ้นมาอีกครั้งในที่สุด

ในช่วงยุค 1820 มีรัฐใหม่ๆ ปรากฏขึ้น เกิดการผ่อนคลายกฎหมายการลงคะแนนเสียง หลายรัฐผ่านกฎหมายของตัวเอง อนุญาตให้ผู้โหวตสามารถเลือกคณะผู้เลือกตั้งได้โดยตรง จากเดิมที่เลือกโดยสภาของรัฐ ความเปลี่ยนแปลงนี้ แบ่งพรรคเดโมเครติก-รีพับลิกัน เป็นหลายฝ่าย ซึ่งแต่ละฝ่ายก็เสนอผู้แทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของตัวเอง

ในการเลือกตั้งปี 1824 นาย แอนดรูว์ แจ็กสัน ได้คะแนนโหวตและคะแนนคณะผู้เลือกตั้งมากที่สุด แต่ไม่เกินครึ่ง ทำให้ต้องไปโหวตตัดสินกันระหว่าง 2 อันดับแรกในสภาผู้แทนราษฎร แต่นาย เฮนรี เคลย์ ซึ่งจบที่ 4 โยนการสนับสนุนทั้งหมดให้นาย จอห์น ควินชี อดัมส์ ผู้ได้ที่ 2 ทำให้นายอดัมส์คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยน ผู้สนับสนุนของนายแจ็กสัน นำโดย มาร์ติน แวน บูเรน ก่อตั้งกลุ่มแนวร่วมใหม่ภายในแนวคิด “เจฟเฟอร์สันเนียน” (Jeffersonian) กลายเป็นพรรค เดโมแครต ขณะที่ฝ่ายของนายอดัมส์เป็นตัวแทนผลประโยชย์ของฝั่งตะวันออก ก่อตั้งพรรค เนชันนัล รีพับลิกัน (National Republican) ขึ้นมา ทำให้พรรค เดโมเครติก-รีพับลิกัน ถูกยุบในปี 1825

ในปี 1828 และ 1832 เดโมแครตประสบความสำเร็จในการหนุนหลังนายแจ็กสันให้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง และทำให้เกิดระบบต่างๆ ที่เป็นคุณลักษณะของพรรคการเมืองปัจจุบัน เช่น การจะแคมเปญหาเสียง และการจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกตัวแทนพรรคไปลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นต้น

หลังการเลือกตั้ง ฝ่ายต่อต้านนายแจ็กสัน รวมถึงพรรคเนชันนัล รีพับลิกัน มารวมตัวกันก่อตั้งพรรค “วิก” (Whig Party) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับพรรคสมาพันธรัฐในอดีต เรื่องความต้องการให้รัฐบาลกลางมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลของรัฐต่างๆ อย่างไรก็ตาม พรรควิกล่มสลายในช่วง ค.ศ. 1850 และฝ่ายต่อต้านระบบทาสกลุ่มใหม่ที่ชื่อว่าพรรค รีพับลิกัน ก็ถูกก่อตั้งขึ้นมา แข่งขันกับเดโมแครต

ถึงแม้ว่าแนวทางและจุดยืนของทั้ง 2 พรรคจะเปลี่ยนไปมากตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เดโมแครตกับรีพับลิกัน ก็ยังคงเป็นกลุ่มการเมืองเพียง 2 กลุ่มที่ครองอำนาจสูงสุดในสหรัฐฯ มาจนถึงทุกวันนี้

ทำไมระบบเลือกตั้งของสหรัฐฯ หนุนโมเดล 2 พรรค

เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมระบบ 2 พรรคถึงตั้งใหม่ในสหรัฐฯ ได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ จะต้องเข้าใจก่อนว่าการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ทำงานอย่างไร

...

ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ นั้น จะมีสิ่งที่เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ “Electoral College” ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนโหวตเลือกประธานาธิบดีแทนประชาชนในแต่ละรัฐ และรัฐต่างๆ ก็จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนประชากร แต่รวมทั้งหมดอยู่ที่ 538 คน ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 270 เสียงขึ้นไป จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่

ฝ่ายที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดในรัฐใดๆ ก็จะได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นๆ ไปทั้งหมด เรียกกันว่า “ผู้ชนะกินรวบ” ยกเว้นเพียง 2 แห่งที่รัฐเมน และเนบราสกา ซึ่งใช้ระบบแบ่งสัดส่วนตามคะแนนที่ได้รับ

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวอเมริกันจึงมักเลือกแคนดิเดทที่พวกเขานิยมมากที่สุด ซึ่งก็มักจะมาจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครต 2 พรรคใหญ่ที่สุด แม้แต่ในขั้นตอนการเลือกผู้แทนพรรค พวกเขายังแข่งขันกันด้านนโยบายภายในพรรคอย่างหนัก เพื่อให้ได้แคนดิเดทที่สามารถดึงดูดใจผู้โหวตได้มากที่สุด

เพราะโครงสร้างเหล่านี้ และเหตุผลประกอบอื่นๆ ทำให้ระบบ 2 พรรคของสหรัฐฯ อยู่ยงมานานตลอด 200 ปี ถึงแม้ว่าโพลสำรวจความคิดเห็นจะชี้ว่า ประชาชนไม่ค่อยพอใจในระบบ 2 รัฐมากนักก็ตาม

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

...

ที่มา : history