องค์การด้านความมั่นคงระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ Organization for Security and Co-operation in Europe หรือ OSCE ภาษาราชการที่เราใช้กันก็คือ ‘องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป’ องค์การนี้มีสมาชิกจากทั้งยุโรป เอเชียกลาง และอเมริกาเหนือ มีหุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือแห่งเมดิเตอร์เรเนียนและเพื่อความร่วมมือแห่งเอเชีย มีสำนักเลขาธิการอยู่ที่กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย

ที่นำ OSCE มาเขียนถึงวันนี้ เพราะแต่เดิมหลายคนมีความหวังว่า องค์การนี้จะช่วยเจรจาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในสงครามรัสเซีย-อูเครน ทว่าข้อตกลงมินสก์ฉบับ ค.ศ.2014 หรือฉบับ ค.ศ.2015 ลงนามรับรองโดยรัสเซีย อูเครน และ OSCE ที่ถึงแม้จะมีการลงนามอย่างถูกต้องแล้วก็ตาม แต่อูเครนก็ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง การปฏิเสธของอูเครนทำให้เหวอกันไปทั้งโลกและทำให้โลกตระหนักว่า OSCE ไม่มีน้ำยาสมดังความมุ่งหวังตั้งใจในการตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา

หลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-อูเครน มีการเล่นเอาล่อเอาเถิดเปิดการเจรจาอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2022 ใกล้กับพรมแดนเบลารุส แต่ก็ไม่มีผลอะไรตามมา รอบที่สองและรอบต่อไปอีกหลายครั้ง ทั้งเสนอโน่นเสนอนี่ ผ่านตัวแทนบ้าง ไม่ผ่านบ้าง ฝ่ายรัสเซียตัดสินใจง่ายเพราะทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ที่ปูตินเอาด้วยหรือไม่

ที่ยังยึกยักกึกกักอึกอักก็น่าจะเป็นฝ่ายอูเครน กว่าที่สหรัฐฯและนาโตจะหาเหยื่อมาเป็นตัวแทนของพวกตน และกว่าจะสร้างจิตใจรุกรบฮึกเหิมให้สถิตอยู่ในใจของเซเลนสกีได้ พวกตนลงทุนไปเยอะ ถ้าไม่สร้างสงครามประชิดติดชายแดนรัสเซียก็จะทำให้รัสเซียมีความปลอดโปร่งโล่งใจในการพัฒนาประเทศ

ด้วยคุณภาพของผู้คนที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้วยทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลมากมายที่สุดในโลก จะทำให้รัสเซียสามารถสร้างตัวเองจนกลายเป็นคู่แข่งความเป็นมหาอำนาจกับสหรัฐฯได้ในอนาคต สหรัฐฯมีความจำเป็นต้องคุมกำเนิดรัสเซียหากมีการเจรจา สงครามก็จบ สิ่งที่สหรัฐฯและนาโตลงทุนไปก็จะสูญเปล่า

...

สหรัฐฯและนาโตสั่งให้เซเลนสกีลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาประธานาธิบดี ไม่ให้มีการเจรจากับประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย อย่างเด็ดขาด แม้แต่ในรัฐสภาของอูเครนก็มีการออกกฎหมายไม่ให้มีการเจรจาใดกับฝ่ายรัสเซีย กฎหมายพวกนี้ทำให้ต่อไปในอนาคต ใครต้องการเจรจากับรัสเซียก็ต้องไปร้องขอให้สมาชิกรัฐสภายกมืออนุมัติ ซึ่งในตอนนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ของรัฐสภาอูเครนโปรสหรัฐฯและตะวันตก

เดิมพวกกองกำลังติดอาวุธอาซอฟซึ่งเป็นพวกนาซีใหม่เป็นคนละพวกกับกองทัพอูเครน แต่ปัจจุบันทุกวันนี้ มีการบริหารจัดการทำให้กองกำลังทั้งสองมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว โดยมีการสนับสนุนจากสหรัฐฯและนาโต และโดยแท้ที่จริง การรบครั้งนี้ไม่ใช่สงครามระหว่างรัสเซียกับอูเครน แต่คือสงครามระหว่างรัสเซียกับนาโต

รัสเซียเองรู้ภาพรวมของกลุ่มศัตรูจึงไม่ผลีผลามงามประสบ รัสเซียรบอย่างละเมียดละไมเพื่อดึงทรัพยากรของพวกนาโตมาทำลายทิ้งทีละน้อย รบจนอูเครนบ้านแตกสาแหรกขาด บ้านเรือนเสียหายพังทลายยับเยิน อูเครนคนใดที่ต้องการยุติสงครามก็จะถูกลงโทษทันที หากเป็นพวกที่มีศักยภาพ เช่น สื่อมวลชนหรือนักการเมืองที่ผู้คนนิยมก็จะถูกเนรเทศ หรือถูกจับกุมอย่างไม่ยุติธรรม

หลังจากเห็นบทบาทของอูเครนที่แสดงเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่นาน ฝ่ายรัสเซียตกลงปลงใจที่จะไม่เจรจาอีกแล้ว การสงครามครั้งนี้มีแต่แพ้หรือชนะเพียงอย่างเดียว ถ้าอูเครนแพ้ หมายถึงการสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน

ถ้าฝ่ายรัสเซียแพ้ก็อาจจะโดนสหรัฐฯและนาโตแบ่งประเทศออกเป็นมากมายหลายสาธารณรัฐ แล้วก็ส่งคนของตนเข้าไปบริหารจัดการ เหมือนกับในช่วงที่สหภาพโซเวียตแตกเมื่อ ค.ศ.1991 ซึ่งในตอนนี้ ก็เห็นแล้วว่าผู้นำของลัตเวีย ลิทัวเนีย เอสโตเนีย จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอูเครน ล้วนเป็นผู้นำประเทศสายสหรัฐฯและตะวันตกทั้งสิ้น.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ "เปิดฟ้าส่องโลก" เพิ่มเติม