สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าว รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน รมว.กลาโหมเกาหลีใต้ ชิน วอน ซิก และ รมว.กลาโหมญี่ปุ่น มิโนรุ คิฮาระ ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ ด้านความมั่นคงระดับไตรภาคีทางด้านทหารร่วมกันท่ามกลางภัยคุกคามจาก นิวเคลียร์ และ ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และ อิทธิพลของจีน ที่ขยายวงกว้างในภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับ จีน รัสเซีย และ เกาหลีเหนือ ได้กระชับความร่วมมือทางด้านการทหารร่วมกัน

ในขณะที่ รัสเซีย เองก็มีความพยายามในการที่จะขยายอำนาจการใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่นเดียวกับ เกาหลีเหนือ ทำให้ฉากทัศน์ของสงครามนิวเคลียร์ ถูกโฟกัสไปที่สองจุดใหญ่คือใน คาบสมุทรเกาหลี และ รัสเซียกับยูเครน แน่นอนว่าผลกระทบย่อมเกิดขึ้นไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรป

ในที่ประชุม รัฐมนตรีอาเซียน-สหรัฐฯ ที่ สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพ แอนโทนี บลิงเกน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ใช้โอกาสนี้วิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมการกระทำผิดกฎหมายของจีนในทะเลจีนใต้ ที่มีความขัดแย้งระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ในเวลานี้ นอกจากนี้ในที่ประชุมดังกล่าว รมว.ต่างประเทศออสเตรเลีย ยังให้ความสำคัญกับสงครามกลางเมืองในเมียนมาที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนยึดมติข้อตกลงในการยุติสงคราม

ปัญหาสงครามตะวันออกกลางที่ไม่มีท่าทีจะยุติ ระหว่าง อิสราเอลกับ ฮามาส สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า การหารือระหว่าง เนทันยาฮู นายกฯอิสราเอล กับ แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ขอให้ เนทันยาฮู ยุติการสู้รบในกาซา ในขณะที่สงครามในกาซาไม่มีท่าทีว่าจะยุติ มีข่าวการสูญเสียแทบจะทุกวันจะเป็นแค่การโฆษณาหาเสียงประธานาธิบดีสหรัฐฯในตอนนี้ หรือจะเป็นนโยบายหลักในการรักษาความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือจะเป็นการปากว่าตาขยิบ อย่างไรเสียสหรัฐฯก็ต้องเข้าข้างอิสราเอลวันยังค่ำ เพราะอิสราเอลเป็นฐานที่มั่นของสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้ายที่สำคัญที่สุด คงไม่โดดเดี่ยวอิสราเอลจริงๆ

...

ทั้งหมดเป็นการฉายภาพของ สงครามขั้วมหาอำนาจ ที่ก่อตัว ชัดเจนขึ้นทุกที การใช้อาวุธในการทำสงครามแบบจริงๆจังๆคงยังไม่เกิดขึ้น ในสภาพความไม่พร้อมของทุกฝ่าย เป็นแค่การขู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และการใช้เครื่องมือทางการค้าและความมั่นคงเป็นการกดดันมากกว่า

แต่ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะไม่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม ขีดเส้นความเป็นพันธมิตรและศัตรู เอาไว้ค่อนข้างจะชัดเจน สงครามเทคโนโลยีและจุดจบของสงครามนิวเคลียร์ ไต่ระดับจากน้อยไปหามาก วันหนึ่งก็จะถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด

เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุเอกสารที่ยื่นต่อศาลว่า ติ๊กต่อก เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานเกี่ยวกับหัวข้อที่ละเอียดอ่อนและอาจถูกบังคับให้แบ่งปันข้อมูลดังกล่าวกับ รัฐบาลจีน ซึ่งอาจเซ็นเซอร์หรือมีอิทธิพลต่อเนื้อหาที่ชาวอเมริกันรับชมที่มีแนวโน้มว่าจะสั่งแบนแอปดังกล่าว

สำนักข่าวบลูมเบิร์กก็รายงานว่า ชะตากรรมของติ๊กต่อกขึ้นอยู่กับศาลสหรัฐฯ หลังจากมีการบังคับให้บริษัทไบต์แดนซ์ของจีนขายแอปติ๊กต่อกไม่เช่นนั้นจะถูกห้ามดำเนินการในสหรัฐฯและจากนี้ไปทุกประเทศจะถูกแบ่งแยกให้เลือกข้างโดยปริยาย แม้แต่บ้านเราการจะซื้อเครื่องบินรบของกองทัพอากาศก็ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม