- สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ว่าการกรุงโตเกียว "ยูริโกะ โคอิเกะ" ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนกว่า 2.9 ล้านเสียง ได้กลับมาดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ได้บริหารกรุงโตเกียวต่อไปอีก 4 ปี เธอกล่าวว่า จะรวบรวมความพยายามในการพัฒนาโตเกียวต่อไป ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมสำหรับการส่งเสริมศักยภาพของสตรี ซึ่งเธอมองว่าที่มีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก
- การเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงโตเกียวในปีนี้ มีผู้ลงสมัครทั้งหมด 56 คน ส่วนจำนวนประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมีจำนวนมากกว่า 60% เพิ่มขึ้นจาก 55% ในการเลือกตั้งปี 2563
- ญี่ปุ่นยังไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง และสมาชิกสภานิติบัญญัติส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ขณะที่กรุงโตเกียวมีประชากร คิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ และมีเศรษฐกิจคิดเป็น 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจประเทศก็ตาม
นางยูริโกะ โคอิเกะ วัย 71 ปี ผู้สมัครอิสระ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนที่เปลี่ยนเป็นคะแนนเสียงท่วมท้นถึงคะแนนเสียงมากกว่า 2.9 ล้านเสียง หรือคิดเป็น 42.8% ของคะแนนเสียงทั้งหมดให้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงโตเกียวต่ออีกสมัย ในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยเธอสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของเธอไปด้วยคะแนนแบบทิ้งห่าง
ชัยชนะของเธอทำให้ผู้สนับสนุนหลักอย่าง นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ และพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือพรรคแอลดีพีเบาใจลง หลังจากเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พรรคแอลดีพีเพิ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมรัฐสภา 3 ครั้งให้แก่พรรคฝ่ายค้าน ประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น รวมถึงการลงคะแนนเสียงให้ผู้ว่าการจังหวัดชิซุโอกะที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งผู้ชนะคือนายยาสุโตโมะ ซูซูกิ ผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มฝ่ายค้าน
...
สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงโตเกียวในปีนี้ มีผู้ลงสมัครทั้งหมด 56 คน ส่วนจำนวนประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมีจำนวนมากกว่า 60% เพิ่มขึ้นจาก 55% ในการเลือกตั้งปี 2563

ผู้สังเกตการณ์คาดการณ์ไว้ในตอนแรกว่า การเลือกตั้งจะเป็นการแข่งขันแบบเผชิญหน้ากันระหว่างโคอิเกะกับนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญ เรนโฮ ไซโตะ วัย 56 ปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น แต่ปรากฏว่าคะแนนของเธอร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 3 ส่วนนายชินจิ อิชิมารุ วัย 41 ปี ผู้สมัครอิสระและอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอาคิตะกาตะ จังหวัดฮิโรชิมา ได้อันดับที่ 2
นางโคอิเกะปราศรัยประกาศชัยชนะ โดยกล่าวต่อกลุ่มผู้สนับสนุนในกรุงโตเกียว ยอมรับว่ายังมีความท้าทายอีกมาก อาทิ การแก้ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และการแก้ปัญหาอัตราการเกิดของประชากรลดลงต่ำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เธอกล่าวว่า จะรวบรวมความพยายามในการพัฒนาโตเกียวต่อไป ซึ่งรวมถึงการพัฒนาสภาพแวดล้อมสำหรับการส่งเสริมศักยภาพของสตรี ซึ่งเธอมองว่าที่มีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก
การกลับมาดำรงตำแหน่งของนางโคอิเกะ ทำให้เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในการเมืองญี่ปุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นระบบผู้ชายเป็นใหญ่ เธอเปิดเผยกับบีบีซีว่า เธอชนะการเลือกตั้งสมัยแรก เพราะเธอเป็นผู้หญิง เนื่องจากในตอนนั้นผู้คนชอบที่จะมีสิ่งใหม่ๆ หรือคนใหม่ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม
เธอกล่าวว่า ชาวกรุงโตเกียวคิดเป็นประมาณ 11% ของประชากรทั้งประเทศ และมีตัวเลขจีดีพี คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของตัวเลขจีดีพีทั้งหมด ที่ผ่านมาเธอเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณของเมืองหลวงแห่งนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 16.55 ล้านล้านเยน ในปีงบประมาณนี้

และยังต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาอัตราการเกิดที่ต่ำอย่างน่าตกใจของกรุงโตเกียว ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญในระหว่างการรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ หลังจากอัตราการเกิดของทารกอยู่ที่ 0.99 หรือไม่ถึง 1 คนต่อผู้หญิงอายุระหว่าง 15 ถึง 49 ปี ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในบรรดาประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ยูริโกะ โคอิเกะ เริ่มต้นเป็นที่รู้จักของผู้คนด้วยการเป็นนักข่าว โดยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่วงการการเมืองในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่จนกระทั่งปี 2016 เธอได้รับความโดดเด่นระดับชาติอย่างแท้จริง หลังจากชนะตำแหน่งผู้ว่าการกรุงโตเกียวเป็นสมัยแรก
...
เธอไม่ใช่ผู้สมัครที่พรรคการเมืองใหญ่ในขณะนั้น อย่างพรรคแอลดีพี ส่งลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงโตเกียวอย่างเป็นทางการ แต่เธอยังคงสามารถเอาชนะมาได้ ด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 2.9 ล้านเสียง จนกลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของกรุงโตเกียวที่ดำรงตำแหน่งนี้
นางโคอิเกะกลายเป็นผู้ว่าการหญิงคนแรกของโตเกียวในปี 2559 และชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2563 ผู้ว่าการหญิงสายอนุรักษนิยมรายนี้ ประสบความสำเร็จในการบริหารมหานครที่มีประชากรมากที่สุดของญี่ปุ่น ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติและท้าทาย อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการเป็นเจ้าภาพแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2564
เธอสัญญากับบรรดาผู้สนับสนุนทางการเมืองด้วยวลีที่ว่า "จะเป็นผู้นำการเมืองโตเกียว ในลักษณะที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และสร้างโตเกียวในแบบที่พวกคุณไม่เคยเห็นมาก่อน"
อย่างไรก็ตาม เธอลาออกจากพรรคแอลดีพี อย่างเป็นทางการในปี 2560 เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองของเธอเอง แม้ว่าเธอจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ คนในพรรค
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยเคลียร์เรื่องอื้อฉาว ข้อกล่าวหาที่ว่าเธอไม่เคยสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไคโร ของอียิปต์ ตามที่เคยกล่าวอ้าง แม้จะมีแถลงการณ์ยืนยันการสำเร็จการศึกษาของเธอจากมหาวิทยาลัย แต่รายงานที่ว่าเธอปลอมแปลงเอกสารการสำเร็จการศึกษาของเธอยังคงมีอยู่และถูกเปิดเผยออกมา ในระหว่างช่วงที่เธอพยายามหาเสียงเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการโตเกียวสมัยที่ 3 นี้
ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองยังวิพากษ์วิจารณ์เธอที่ไม่ได้ทำงานสำเร็จตามที่เคยสัญญาไว้ รถไฟยังคงแน่นไปด้วยผู้คน และวัฒนธรรมการทำงานมากเกินไปยังคงเป็นปัญหาอยู่.