• ประเทศฝรั่งเศสได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในรอบแรก โดยพบว่า พรรค "เนชันแนล แรลลี" (NR) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านแนวคิดขวาจัด คว้าคะแนนเสียงได้ 33.4% ในขณะที่กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรฝ่ายซ้าย นิว ป๊อปปูลาร์ ฟรอนท์ (NFP) มาเป็นอันดับสองด้วยคะแนน 27.99% และกลุ่มพันธมิตรการเมือง "อองซอมเบลอ" ของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ร่วงลงสู่อันดับสามด้วยคะแนน 20.76%
  • เนื่องจากจำนวนที่นั่งถูกแบ่งเป็นสามฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงจำเป็นต้องมีการเจรจาทางการเมืองในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ ในขณะที่พรรคสายกลางและฝ่ายซ้าย จะต้องตัดสินใจว่าจะขัดขวางกลุ่มชาตินิยมและกลุ่มต่อต้านผู้อพยพ จากพรรค RN เพื่อมิให้ครองเสียงข้างมากในสภาหรือไม่
  • การมีรัฐบาลฝ่ายขวาจัด อาจก่อให้เกิดวิกฤติทางการเงินและรัฐธรรมนูญได้ โดยพรรคเนชันแนล แรลลี ได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายอย่างเต็มที่ นับตั้งแต่การยกเลิกการปฏิรูปเงินบำนาญของนายมาครง ไปจนถึงการลดภาษีเชื้อเพลิง ก๊าซ และไฟฟ้า ในช่วงเวลาที่งบประมาณของฝรั่งเศสอาจถูกหั่นลงอย่างรุนแรงโดยสหภาพยุโรป

พรรคฝ่ายขวา "เนชันแนล แรลลี" หรือ RN ของ มารีน เลอ เปน มีคะแนนนำในการเลือกตั้งรัฐสภาฝรั่งเศสรอบแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้เธอเข้าใกล้ประตูแห่งอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม

หลังจากจำนวนผู้ใช้สิทธิที่สูงมากกว่าปกติ พรรค RN ก็คว้าคะแนนเสียงได้ 33.4% ในขณะที่กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรฝ่ายซ้าย นิว ป๊อปปูลาร์ ฟรอนท์ (NFP) มาเป็นอันดับสองด้วยคะแนน 27.99% และกลุ่มพันธมิตรการเมือง "อองซอมเบลอ" ของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ร่วงลงสู่อันดับสามด้วยคะแนน 20.76% 

แม้ว่า RN ดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่จะคว้าที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภา แต่ก็อาจได้ที่นั่งไม่ถึง 289 ที่นั่ง เพื่อครองเสียงข้างมากในสภาโดยเด็ดขาด ซึ่งบ่งชี้ว่าฝรั่งเศสอาจกำลังมุ่งหน้าไปสู่สภาวะ "สภาแขวน" และมีความไม่แน่นอนทางการเมืองมากขึ้น

...

การคาดการณ์แสดงให้เห็นว่า หลังจากการลงคะแนนเสียงรอบที่สองในวันอาทิตย์หน้า พรรค RN จะได้ที่นั่งระหว่าง 230 ถึง 280 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีที่นั่ง 577 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจจากจำนวน 88 ที่นั่งในรัฐสภาที่กำลังจะหมดวาระ ส่วน NFP คาดว่าจะได้ที่นั่งระหว่าง 125 ถึง 165 ที่นั่ง โดยมีกลุ่มอองซอมเบลอ ปิดท้ายด้วยที่นั่งระหว่าง 70 ถึง 100 ที่นั่ง

นายมาครงประกาศยุบสภาและจัดเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาแห่งสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา อาจทำให้เขาเหลือเวลาอีก 3 ปีที่เหลือในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งอาจต้องทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีจากพรรคฝ่ายค้าน

แม้พรรค RN จะจัดการเฉลิมฉลองหลังการประกาศผล แต่มารีน เลอ เปน ได้กล่าวเน้นย้ำว่าการลงคะแนนเสียงในวันอาทิตย์หน้าจะเป็นกุญแจสำคัญ

"ประชาธิปไตยได้แสดงตัวออกมาแล้ว และชาวฝรั่งเศสได้วางใจให้พรรคเนชันแนล แรลลี และพันธมิตร มาเป็นอันดับหนึ่ง และเกือบจะลบล้างกลุ่มของนายมาครงได้แล้ว" พร้อมเสริมว่า "ตอนนี้ยังไม่ถือเป็นชัยชนะ และรอบที่สองจะเป็นการตัดสินขั้นเด็ดขาด"

ส่วนฌอร์ด็อง บาร์เดลญา ผู้นำพรรควัย 28 ปี ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่สำนักงานใหญ่ของ RN ในกรุงปารีส ที่สะท้อนความคิดเห็นของเลอเปนว่า "การลงคะแนนเสียงที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์หน้า ถือเป็นการลงคะแนนเสียงที่เด็ดขาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐที่ 5"

ในการกล่าวสุนทรพจน์ก่อนการเลือกตั้งรอบแรก บาร์เดลญากล่าวว่า เขาจะปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่ง RN จะต้องได้รับคะแนนเสียงของกลุ่มพันธมิตรจึงจะผ่านกฎหมายได้ ซึ่งหาก RN ขาดเสียงข้างมากโดยสมบูรณ์ และนายบาร์เดลญายังคงยึดมั่นในคำพูดของเขา นายมาครงอาจต้องค้นหานายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายซ้าย หรือจากฝ่ายอื่น เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเทคโนแครต หรือรัฐบาลที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองหรือพันธมิตรทางการเมืองอย่างเป็นทางการ

หลังจากการประกาศผลเลือกตั้งเมื่อคืนวันอาทิตย์ การประท้วงต่อต้านฝ่ายขวาจัดก็ได้ปะทุขึ้นในกรุงปารีสและเมืองลียง โดยมีผู้คนประมาณ 5,500 คนมารวมตัวกันที่จัตุรัสสาธารณรัฐ ในกรุงปารีส โดยผู้ประท้วงบางส่วนจุดพลุดอกไม้ไฟขณะเดินขบวนทั่วกรุงปารีส ในขณะที่มีรายงานว่าตำรวจ 200 นายถูกส่งไปในเมืองลียง เพื่อจัดการกับการประท้วง

ห้ามออก-ห้ามเข้า

เนื่องจากจำนวนที่นั่งถูกแบ่งเป็นสามฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงจำเป็นต้องมีการเจรจาทางการเมืองในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ ในขณะที่พรรคสายกลางและฝ่ายซ้าย จะต้องตัดสินใจว่าจะขัดขวางกลุ่มชาตินิยมและกลุ่มต่อต้านผู้อพยพ จากพรรค RN เพื่อมิให้ครองเสียงข้างมากในสภาหรือไม่

เมื่อ RN ภายใต้ชื่อเดิมคือแนวร่วมแห่งชาติ สามารถทำผลงานได้ดีในการเลือกตั้งรอบแรก พรรคฝ่ายซ้ายและพรรคฝ่ายกลางได้รวมตัวกันเพื่อขัดขวางไม่ให้ RN เข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้หลักการที่เรียกว่า "การห้ามมิให้ใครออกและเข้า"

...

หลังจากที่นาย ฌอง-มารี เลอเปน บิดาของมารีน เลอ เปน ซึ่งเป็นผู้นำแนวร่วมเนชันแนล แรลลี มาหลายสิบปี สามารถเอาชนะนายลิโอเนล จอสแปง ผู้สมัครพรรคสังคมนิยมอย่างไม่คาดคิด ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2545 ฝ่ายสังคมนิยมก็เทน้ำหนักให้แก่ผู้สมัครฝ่ายกลางขวาอย่างนายฌาค ชีรัก และส่งผลให้เขาชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในรอบที่สอง

ในความพยายามที่จะปฏิเสธเสียงข้างมากของ RN พรรค NFP ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นเดือนนี้ ให้คำมั่นว่าจะถอนผู้สมัครทั้งหมดที่เข้ามาเป็นอันดับสามในรอบแรก นายฌอง-ลุค เมลองชง ผู้นำกลุ่ม France Unbowed ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดใน NFP กล่าวกับผู้สนับสนุนเมื่อวันอาทิตย์ว่า "คำสั่งของเราชัดเจน ไม่ใช่การลงคะแนนเสียงอีกต่อไป ไม่มีที่นั่งเพิ่มให้แก่เนชันแนล แรลลี"

มารีน ตงเดลิเญ ผู้นำพรรคกรีน ซึ่งเป็นฝ่ายสายกลางของ NFP ได้ร้องขอเป็นการส่วนตัวต่อนายมาครงให้ยืนหยัดต่อที่นั่ง เพื่อปฏิเสธเสียงข้างมากของ RN "เราหวังพึ่งคุณ จงถอนตัวหากคุณได้คะแนนเป็นอันดับสามในการเลือกตั้งแบบ 3 ฝ่าย และถ้าคุณไม่ผ่านเข้ารอบที่สอง ให้โทรหาผู้สนับสนุนของคุณเพื่อลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่สนับสนุนค่านิยมของสาธารณรัฐ"

...

พันธมิตรการเมือง "อองซอมเบลอ" ยังได้เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนขัดขวางไม่ให้ฝ่ายขวาจัดขึ้นเป็นรัฐบาล แต่ได้เตือนไม่ให้ยืมคะแนนเสียงให้กับนายฌอง-ลุก เมลองชง

นายกาเบรียล แอตตัล นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นวาระ เรียกร้องให้ผู้ลงคะแนนเสียงป้องกันไม่ให้พรรค RN ชนะเสียงข้างมาก แต่กล่าวว่าพรรค France Unbowed ของนายเมลองชง "กำลังขัดขวางทางเลือกที่น่าเชื่อถือ" ต่อรัฐบาลฝ่ายขวาจัด

อดีตนายกรัฐมนตรี เอดูโออาร์ด ฟิลิปป์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของมาครงอีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ไม่ควรลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครชิงตำแหน่งจากเนชันแนล แรลลี ซึ่งรวมถึงผู้สมัครจาก France Unbowed ด้วย ซึ่งมีจุดยืนที่แตกต่างจากพรรคในเรื่องหลักการพื้นฐาน

การลงคะแนนเสียงเชิงยุทธศาสตร์ สามารถป้องกันไม่ให้ RN ชนะเสียงข้างมากได้หรือไม่นั้นยังคงไม่ชัดเจน โดยในการลงคะแนนเสียงเมื่อวันอาทิตย์ พรรค RN ได้รับการสนับสนุนในสถานที่ที่ไม่คาดคิด โดยในเขตเลือกตั้งที่ 20 ของเขตนอร์ด ศูนย์กลางอุตสาหกรรม นายฟาเบียน รุสเซล ซึ่งเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ ประสบความพ่ายแพ้ในรอบแรกให้แก่ผู้สมัครจาก RN ที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน แม้พรรคคอมมิวนิสต์จะครองที่นั่งในเขตนี้มาตั้งแต่ปี 2505

การเดิมพันครั้งใหญ่


การตัดสินใจของมาครงที่จะประกาศให้มีการเลือกตั้งอย่างเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของฝรั่งเศสนับตั้งแต่ปี 2540 ทำให้ทั้งประเทศและแม้แต่พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาต้องประหลาดใจ การลงคะแนนเสียงในวันอาทิตย์ถูกจัดขึ้นเร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 3 ปี และเพียง 3 สัปดาห์หลังจากที่พรรคเรอเนซองส์ของมาครง พ่ายแพ้ต่อพรรค RN ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป

มาครงให้คำมั่นที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งสุดท้ายของเขา ดำเนินไปจนถึงปี 2570 แต่ตอนนี้เขาเผชิญกับโอกาสที่จะต้องแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากพรรคฝ่ายค้าน ในรูปแบบที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น ที่เรียกว่า "การอยู่ร่วมกัน"

...

รัฐบาลฝรั่งเศสประสบปัญหาเพียงเล็กน้อยในการผ่านกฎหมาย เมื่อประธานาธิบดีและสมาชิกส่วนใหญ่ในรัฐสภามาจากพรรคเดียวกัน แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งต่างๆ อาจหยุดชะงักได้ ในขณะที่ประธานาธิบดีเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ นโยบายด้านยุโรป และกลาโหมของประเทศ สมาชิกส่วนใหญ่ในรัฐสภามีหน้าที่รับผิดชอบในการผ่านกฎหมายภายในประเทศ เช่น เงินบำนาญและภาษีอากร

แต่การพิจารณากฎหมายหล่านี้อาจทับซ้อนกัน ส่งผลให้ฝรั่งเศสเข้าสู่วิกฤติรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น นายบาร์เดลญาปฏิเสธการส่งกองกำลังไปช่วยยูเครนต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งเป็นแนวคิดที่มาจากนายมาครง และกล่าวว่าเขาจะไม่อนุญาตให้ยูเครนใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารของฝรั่งเศสโจมตีเป้าหมายในรัสเซีย ยังไม่ชัดเจนว่าเจตจำนงของใครจะเป็นฝ่ายชนะในข้อพิพาทเช่นนี้ โดยที่เส้นแบ่งระหว่างนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศยังไม่ชัดเจน

รัฐบาลฝ่ายขวาจัด อาจก่อให้เกิดวิกฤติทางการเงินและรัฐธรรมนูญได้ โดย RN ได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายเต็มที่ นับตั้งแต่การยกเลิกการปฏิรูปเงินบำนาญของนายมาครง ไปจนถึงการลดภาษีเชื้อเพลิง ก๊าซ และไฟฟ้า ในช่วงเวลาที่งบประมาณของฝรั่งเศสอาจถูกหั่นลงอย่างรุนแรงโดยสหภาพยุโรป

ขณะที่ฝรั่งเศสเผชิญการขาดดุลที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศยูโรโซน ฝรั่งเศสอาจจำเป็นต้องเริ่มดำเนินการในช่วงเวลาแห่งการรัดเข็มขัด เพื่อหลีกเลี่ยงการไม่ปฏิบัติตามกฎการคลังใหม่ของคณะกรรมาธิการยุโรป แต่หากแผนการใช้จ่ายของ RN เกิดขึ้น ก็จะทำให้การขาดดุลของฝรั่งเศสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดตราสารหนี้ และนำไปสู่การเตือนถึง "วิกฤติทางการเงินแบบ ลิซ ทรัสส์" ซึ่งหมายถึงนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษ ที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์

นายมาครงกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึง "ความปรารถนาที่จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน" ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวฝรั่งเศส และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของเขาออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้งรอบที่สอง

"เมื่อต้องเผชิญกับพรรคเนชันแนล แรลลี ก็ถึงเวลาแล้วสำหรับการเลือกตั้งรอบที่สอง เพื่อสร้างความเป็นประชาธิปไตยและความชัดเจนในวงกว้าง".

ที่มา CNN

ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign