ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศแผนการให้สัญชาติแก่ผู้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายที่แต่งงานกับชาวอเมริกัน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศความพยายามครั้งใหม่ในการให้สัญชาติแก่ผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายหลายแสนคนในสหรัฐฯ ที่แต่งงานกับพลเมืองสหรัฐฯ ซึ่งสวนทางกับแผนการเนรเทศผู้อพยพของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า โครงการของนายไบเดนจะมีผลต่อคู่สมรสประมาณ 500,000 คน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี ณ วันที่ 17 มิถุนายน ขณะที่เด็กจำนวน 50,000 คน ที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่มีผู้ปกครองเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็จะมีสิทธิ์เช่นกัน
ไบเดน ซึ่งอยู่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. ได้ให้คำมั่นที่จะยกเลิกนโยบายการเข้าเมืองที่เข้มงวดของทรัมป์ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการจับกุมผู้อพยพที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ส่งผลให้นายไบเดนต้องเข้มงวดกับแนวทางของเขา โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ไบเดนไม่อนุญาตให้ผู้อพยพส่วนใหญ่ที่ข้ามชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ขอลี้ภัย ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายการห้ามลี้ภัยที่คล้ายคลึงกันในยุคของทรัมป์ และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนับสนุนการอพยพและพรรคเดโมแครตบางส่วน
นายไบเดนกล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (18 มิ.ย.) ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว จะช่วยให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ลดความ "ไม่ยุติธรรม" ลง เพื่อประโยชน์ของผู้อพยพ คู่สมรส และชาวอเมริกันทุกคน
สหรัฐฯ ได้จัดเตรียมวิธีการมอบสัญชาติให้กับผู้อพยพที่แต่งงานกับชาวอเมริกันและเข้าประเทศอย่างถูกกฎหมายด้วยวีซ่าแล้ว แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ผู้ที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายจะต้องเดินทางออกจากสหรัฐฯ ก่อนเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับอย่างถูกกฎหมาย
...
โครงการใหม่นี้จะอนุญาตให้คู่สมรสและบุตร สามารถยื่นขอถิ่นที่อยู่ถาวรได้โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยยกเลิกกระบวนการที่อาจใช้เวลานานและการแยกครอบครัว ขณะที่ฝ่ายบริหารมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวโครงการนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และยังไม่มีความชัดเจนว่าคู่สมรสจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้ถิ่นที่อยู่ถาวร ซึ่งหากพวกเขาได้รับถิ่นที่อยู่ถาวร พวกเขาสามารถยื่นขอสัญชาติอเมริกันได้ในที่สุด ผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงสาธารณะ หรือผู้ที่มีประวัติอาชญากรรม จะไม่มีสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ของไบเดนกล่าวระหว่างสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวจะคาดว่าจะนำไปใช้จริงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวเม็กซิกัน
แม้ว่าจำนวนผู้อพยพขาเข้าและกักขังที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกลดลงในปีนี้ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นรัฐบาลของนายไบเดน แต่ผลสำรวจยังคงแสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับปัญหานี้
ผลสำรวจความคิดเห็นของแกลลัป โพล ในเดือนพฤษภาคม พบว่า 18% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ มองว่าการอพยพเป็นประเด็นที่พวกเขาให้ความสนใจ ขณะที่ผลสำรวจหลายสำนักที่จัดทำขึ้นในปีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากไว้วางใจทรัมป์ในเรื่องการอพยพและพรมแดนมากกว่านายไบเดน
ผการสำรวจความคิดเห็นซึ่งเผยแพร่โดย Decision Desk HQ และ NewsNation ในเดือนพฤษภาคม พบว่า 46% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคิดว่าทรัมป์ เป็นผู้สมัครที่ดีกว่าเมื่อพูดถึงประเด็นนี้ เทียบกับ 26% สำหรับนายไบเดน ส่วนอีก 13% กล่าวว่าพวกเขาไม่แน่ใจ
การสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดย YouGov และ CBS พบว่าผู้ลงคะแนนเสียง 62% ชื่นชอบโครงการเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารยืนยันในสหรัฐฯ ผลสำรวจยังพบว่า การเนรเทศหมู่ผู้อพยพได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื้อสายฮิสแปนิก โดย 53% ระบุว่าพวกเขาจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าว.
ที่มา Reuters
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign