การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปแห่งสหภาพยุโรป จบลงไปแล้วเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (9 มิ.ย. 2567) และแทบทุกสายตาจับจ้องไปที่ฝรั่งเศส ซึ่งประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ด้วยการประกาศยุบสภาและเตรียมเลือกตั้งใหม่ หลังจาก กลุ่มพันธมิตรพรรคเรอแนซ็องส์ (RE) ของเขา พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงให้แก่ พรรคเนชันแนลแรลลี (RN) ฝ่ายขวาจัด
ค่ำคืนแห่งดราม่ายังเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ทั่วสหภาพยุโรป เมื่อพรรคขวาจัดและฝ่ายชาตินิยมกระชับอำนาจมากขึ้น แต่พรรคฝ่ายกลางขวายังคงรักษาเสียงข้างมากในรัฐสภายุโรปไว้ได้ อันเนื่องมาจากชัยชนะที่เยอรมนี กรีซ โปแลนด์ และสเปน รวมถึงได้คะแนนโหวตเพิ่มขึ้นอย่างมากในฮังการี
รัฐบาลผสมของเยอรมนีแพ้ แต่ไม่เลือกตั้งใหม่
รัฐบาลผสม 3 พรรคของเยอรมนี ระหว่าง พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (SPD) ฝ่ายกลางซ้าย, พรรคกรีน และพรรคเสรีประชาธิปไตย (FDP) พ่ายแพ้ให้แก่ พรรคฝ่ายขวาจัด แต่นายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ยืนยันว่า เขาจะไม่ประกาศเลือกตั้งใหม่เหมือนประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส
การจับมือเป็นรัฐบาลผสมของทั้ง 3 พรรคก็นับเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่แล้ว แต่การรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้เยอรมนีต้องตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและพลังงานกับมอสโก ในขณะที่เยอรมนีต้องส่งอาวุธไปช่วยยูเครนทำสงคราม ขัดแย้งกับความรู้สึกของฝ่ายต่อต้านความรุนแรงในประเทศ ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นไปอีก
เรื่องนี้ทำให้ผู้ที่เคยสนับสนุนตีตัวออกห่าง สร้างรอยร้าวภายในพรรค และทำให้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงไม่มั่นใจ
การเพิ่มขึ้นของผู้อพยพก็ยิ่งเพิ่มภาระหนักในด้านทรัพยากรให้แก่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถเพิ่มการใช้จ่ายของกองทัพ และค่อยๆ เลิกพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย แต่สภาพการเงินของประเทศก็ยังคงตึงเครียดอยู่ดี
...
ทำให้พรรคประชานิยมขวาจัดอย่างพรรคทางเลือกใหม่เพื่อเยอรมนี (AfD) ซึ่งให้คำมั่นว่าจะคืนความสงบและความเจริญรุ่งเรืองโดยเร็ว ด้วยการบอกว่า “แค่เจรจากับรัสเซีย และกลับมาซื้อแก๊สจากรัสเซียอีกครั้ง” ก้าวขึ้นมาชิงคะแนนเสียงไป
ผลการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรป พรรค AfD ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 ที่ 15.9% ตามมาด้วยพรรค SPD ของ นายชอลซ์ ซึ่งได้คะแนนเสียงไป 13.9% โดยที่ พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ฝ่ายอนุรักษนิยม คว้าอันดับ 1 ด้วยคะแนนโหวตถึง 30%
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ผู้โหวตและนักการเมืองเยอรมนียังเชื่อว่า การจัดการปัญหาเกี่ยวกับรัสเซียและผู้อพยพไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น และคนส่วนใหญ่ในเยอรมนีก็ยังคงสนับสนุนยูเครน แต่ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนและไม่มั่นคงนี้ ข้อความง่ายๆ บางครั้งก็น่าดึงดูดกว่า
ฝ่ายขวาจัดอิตาลีย้ำชัย
นายกรัฐมนตรี จอร์เจีย เมโลนี แห่งอิตาลี กระชับอำนาจทางการเมืองของเธอมากขึ้นไปอีก เมื่อพรรคภราดรอิตาลี (Fdl) ของเธอได้คะแนนโหวตเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่ 29% มากกว่าที่พรรคของเธอได้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2565 เสียอีก
แต่ค่ำคืนแห่งดราม่าในอิตาลีกลับมามีเรื่องราวความสำเร็จอีกเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ พรรคประชาธิปไตย (PD) ฝ่ายกลางซ้าย และเป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดใหญ่ที่สุดในอิตาลีได้คะแนนโหวตสูงเกิดคาดที่ 24% และเป็นผลงานที่ดีที่สุดของพรรคนับตั้งแต่ปี 2557 เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่หัวหน้าพรรคอย่าง น.ส.เอลลี ชเลน ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งได้ปีกว่า
ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ กลับทำผลงานได้ไม่ดีนัก พรรคฟอร์ซา อิตาเลีย ซึ่งก่อตั้งโดย ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตเจ้าพ่อสื่อผู้ล่วงลับ กับพรรคที่เคยยิ่งใหญ่อย่าง พรรคเลกา (LN) ของ นายมัตเตโอ ซัลวินี ได้คะแนนโหวตเป็นอันดับที่ 4 กับอันดับที่ 5 ที่ 9.6% กับ 9% ตามลำดับ
พรรคเลกา กำลังระส่ำระสายอย่างหนัก แม้แต่ผู้ก่อตั้งอย่าง นายอัมแบร์โต บอสซี ยังประกาศว่า เขาจะลงคะแนนให้กับพรรคฟอร์ซาอิตาลี ส่วนพรรคสายกลาง 2 พรรค ซึ่งหนึ่งในนั้นนำโดย อดีตนายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี ได้คะแนนโหวตไม่พอส่งผู้แทนเข้าสู่รัฐสภายุโรป
พรรคกรีน-ฝ่ายขวาจัดเนเธอร์แลนด์ผงาด
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน พรรคเสรีภาพ (PVV) ฝ่ายขวาจัด ของนายเกียร์ต วิลเดอร์ส ผู้มีจุดยืนต่อต้านอิสลามและสนับสนุนการแยกประเทศออกจากสหภาพยุโรปมาตลอด คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์อย่างพลิกความคาดหมาย
แต่ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรป PVV กลับได้คะแนนเป็นอันดับที่ 2 รองจากกลุ่มพันธมิตรพรรคกรีน (GL) กับพรรคแรงงาน (PvdA)
และดูเหมือนว่ากลุ่มที่ฉลองกันมากที่สุดกลับไม่ใช่พรรคอันดับบนๆ แต่เป็นพรรคฝ่ายค้านหน้าใหม่ 2 พรรคอย่าง พรรคโวลต์ เนเธอร์แลนด์ (โวลต์) ฝ่ายหนุนสหภาพยุโรป กับพรรคขบวนการพลเรือนชาวไร่ (BBB) ซึ่งสามารถส่งสมาชิกเข้าสู่รัฐสภายุโรปได้ 2 คน กับ 1 คน ตามลำดับ
นายฟรานส์ ทิมเมอร์แมนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองของเนเธอร์แลนด์และสภาพยุโรปมองว่า ผลที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ต้องการเพิ่มความเข้มแข็งให้ยุโรป ไม่ใช่ทำลายมัน
พรรคฝ่ายค้านใหม่ฮังการีปรากฏตัว
ในฮังการี พรรคฟีเดสซ์ (Fidesz) ฝ่ายขวาถึงขวาจัดของ นายกรัฐมนตรี วิคตอร์ ออร์บาน คว้าชัยชนะทั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่นและการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรป แต่ผู้ชนะตัวจริงในคืนวันอาทิตย์กลับเป็น พรรคติสซา (Tisza) ฝ่ายกลางขวา ของนายปีเตอร์ แมกเกีย ทนายความวัย 43 ปี ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านกลุ่มใหม่
พรรคฟีเดสซ์ ได้คะแนนโหวตทั้งสิ้น 44% ส่วนพรรคติสซาซึ่งเพิ่งก่อตั้งเมื่อ 3 เดือนก่อน ตามมาที่ 30% ได้ผู้แทนเข้าสู่สภายุโรป 11 คน กับ 7 คน ตามลำดับ และพวกเขาจะยื่นขอเข้าร่วมกลุ่ม ‘พรรคประชาชนยุโรป’ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มการเมืองภายในรัฐสภายุโรป
...
ถึงแม้หลังการเลือกตั้ง นายออร์บาน จะบอกกับผู้สนับสนุนว่า “เราชนะฝ่ายค้านทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่” แต่การผงาดขึ้นมาของ พรรคติสซา ทำให้ระบบการเมืองที่นายออร์บานสร้าง ที่ให้พรรคฟีเดสซ์ยืนอยู่ท่ามกลางพรรคเล็กพรรคน้อยที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ นั้นได้จบลงแล้ว
พรรคขวาจัดออสเตรียอ้างยุคใหม่มาถึงแล้ว
นายเฮอร์เบิร์ต คิคเคิล หัวหน้าพรรคเสรีภาพแห่งออสเตรีย (FPO) ฝ่ายขวาถึงขวาจัด ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปต่อหน้าผู้สนับสนุน พร้อมกับระบุว่า นี่คือการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของการเมืองออสเตรีย และก้าวต่อไปของเขาคือ การชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ออสเตรียจะจัดการเลือกตั้งรัฐสภาของตัวเองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ (ปลายกันยายนถึงปลายพฤศจิกายน) และผู้นำ 2 คนก่อนหน้านี้ของพรรค FPO ก็ไม่เคยพาพรรคคว้าชัยชนะได้มาก่อน แต่ผลการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปทำให้พวกเขามีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว
นายเกโรลด์ รีดมันน์ หัวหน้าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ แดร์ สแตนดาร์ด ซึ่งอยู่ฝ่ายกลางซ้าย ระบุในบทความว่า พรรค FPO เป็นศูยน์รวมของกลุ่มคนที่กังวลเรื่องผู้อพยพ, ผู้คิดว่าปูตินก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น, ผู้ที่รู้สึกเสื่อมเสียเพราะการฉีดวัคซีนและโควิด-19, ผู้ที่คิดว่าการปกป้องสภาพอากาศไม่ใช่สิ่งจำเป็น และผู้ที่คิดแค่ว่าอยากสั่งสอนใครสักคน
พรรค FPO ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ที่ 25.7% ตามมาติดๆ ด้วยพรรคประชาชน (OVP) ฝ่ายอนุรักษนิยมที่ 24.7% ขณะที่ พรรคสังคมนิยมประชาธิไตย (SPO) ได้ไป 23.2% และพรรคกรีนได้ไป 10.7%.
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc
...