เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นบุกตรวจค้นสำนักงานของบริษัท โตโยต้า หลังจากพวกเขากับผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายเจ้าออกมายอมรับว่า ปลอมแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมของประเทศญี่ปุ่น บุกเข้าตรวจค้นสำนักงานของบริษัท โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เมื่อวันอังคารที่ 4 มิ.ย. 2567 เพื่อหาข้อมูลและหลักฐานกรณีปลอมแปลงข้อมูลด้านความปลอดภัย ซึ่งกำลังสั่นสะเทือนอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายอากิโอะ โตโยดะ ประธานบอร์ดบริหารของบริษัท โตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ออกมาขอโทษและยอมรับว่า พวกเขาพบการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือถูกปลอมแปลงในการทดสอบเพื่อขอเอกสารรับรองด้านความปลอดภัย

“เราปล่อยปละละเลยกระบวนการขอใบรับรอง และผลิตรถยนต์ของเราจำนวนมาก โดยไม่มีมาตรการป้องกันล่วงหน้าที่เหมาะสม” นายโตโยดะ กล่าวพร้อมโค้งศีรษะขอโทษ

โตโยต้า ตัดสินใจระงับการผลิตรถยนต์ 3 โมเดล ได้แก่ โคโรลลา ฟีลเดอร์, โคโรลลา เอกซิโก และ ยาริส ครอส แต่ยืนยันว่าการค้นพบเรื่องการปลอมแปลงข้อมูลดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของรถยนต์ที่อยู่บนท้องถนนแล้ว

ก่อนหน้านี้ โตโยต้า ถูกกล่าวหาด้วยว่า ดัดแปลงรถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบความปลอดภัยกรณีเกิดการชน ในรถรุ่นเก่าที่พวกเขาเลิกผลิตไปแล้ว

ทั้งนี้ การบุกสำนักงานของโตโยต้าเกิดขึ้นในขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่าง ฮอนด้า, มาสด้า และซูซูกิ ที่ออกมายอมรับว่ายื่นข้อมูลเท็จเช่นกัน กำลังจะถูกเจ้าหน้าที่เตรียมเข้าตรวจสอบในเร็วๆ นี้

บริษัท ฮอนด้า ออกมาระบุว่า พวกเขาพบการกระทำผิดในการทดสอบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียงและพลังเครื่องยนต์ แต่ย้ำว่ารถยนต์รุ่นที่เกี่ยวข้องยังคงปลอดภัยในการขับขี่ ส่วนบริษัท มาสด้า สั่งระงับการส่งขายรถยนต์บางรุ่นที่ได้รับผลกระทบจากกรณีอื้อฉาวนี้ แต่ไม่มีแผนที่จะเรียกคืนรถที่ส่งขายไปแล้วแต่อย่างใด

...

ขณะที่ ซูซูกิ มีรถยนต์ที่เกี่ยวข้อง 1 โมเดล และเป็นโมเดลที่เลิกผลิตไปแล้ว

กรณีอื้อฉาวในอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ บริษัท ไดฮัตสึ (Daihatsu) ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือของโตโยต้า ออกมายอมรับเมื่อธันวาคม 2566 ว่าพวกเขาปลอมแปลงข้อมูลการทดสอบความปลอดภัย และประกาศปิดโรงงานทั้งหมดนานกว่า 1 เดือน และพวกเขาต้องจ่ายเงินชดเชยแก่ซัพพลายเออร์กว่า 400 เจ้าตลอดระยะเวลาดังกล่าว

รถยนต์ที่เกี่ยวข้องบางรุ่นถูกขายไปภายใต้แบรนด์ของโตโยต้าด้วย.

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc