• สัปดาห์นี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ จะมารับตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์คนใหม่ หลังจาก นายลี เซียน ลุง ก้าวลงจากตำแหน่ง ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งที่ 3 นับตั้งแต่สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากมาเลเซียในปี 2508  
  • นายลอว์เรนซ์ หว่อง วัย 52 ปี ออกแถลงการณ์ถึงประชาชนในสิงคโปร์ว่า เขาน้อมรับและตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ใหม่ ซึ่งเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ลี เซียน ลุง จะลงจากตำแหน่ง และขอให้ประชาชนช่วยกันสนับสนุนการทำงานของเขา 

นายลี เซียน ลุง ประกาศลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค People's Action Party หรือพรรคกิจประชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ในวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งพรรคนี้ก่อตั้งโดย นายลี กวน ยู บิดาผู้ล่วงลับของเขา ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษ สถาปนิกแห่งสิงคโปร์ยุคใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่ปี 1959-1990 และเขาจะส่งไม้ผู้นำประเทศต่อให้กับ นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี

ที่ผ่านมา ลี เซียน ลุง ได้เตรียมการอย่างรอบคอบสำหรับการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ท่ามกลางความแตกต่างในสังคมที่ได้ขยายวงกว้างขึ้น ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความไม่เท่าเทียมกันที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนความขุ่นเคืองใจที่เพิ่มขึ้นของบรรดาแรงงานต่างชาติ ซึ่งเป็นกำลังแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังร้อนแรง ทำให้สิงคโปร์ที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด จำเป็นต้องยกระดับการรักษาสมดุลที่ยุ่งยากกว่าเดิม 

...

เปิดประวัติผู้นำใหม่สิงคโปร์ และเส้นทางการเมือง

นายลอว์เรนซ์ หว่อง วัย 51 ปี เกิดที่สิงคโปร์ ในปี 1982 เขามาจากครอบครัวธรรมดา เรียนในโรงเรียนรัฐบาลของสิงคโปร์ และเติบโตในชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคม บิดาเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่สิงคโปร์ และมารดาของเขาเป็นครู 

เขาจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ ในสาขาวิทยาศาสตร์ เขาแสดงความสนใจในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ต่อมาเขาได้รับการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนำของสิงคโปร์และต่างประเทศ รวมถึงการศึกษาในสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้รับปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโมนาชมาวี ในปี 1999

หลังจากสำเร็จการศึกษา นายหว่อง เข้าได้ทำงานในภาครัฐ โดยเป็นเจ้าหน้าที่สำนักพลังงานในองค์กรการวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of International Affairs) และมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการส่วนตัวของ นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ซึ่งทำให้การเติบโตบนเส้นทางการเมืองของเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีศึกษาและพัฒนาแห่งสิงคโปร์ และได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐมนตรีคลัง ในปี 2011 ขณะที่มีอายุได้ 39 ปีเท่านั้น และในปี 2020 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลัง

ในช่วงโควิด-19 เขาดำรงตำแหน่งประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจเรื่องโควิด-19 เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการโรคระบาดในสิงคโปร์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลายเป็นผลงานที่โดดเด่นของเขา และงานนี้ช่วยปูทางให้เขาได้มองเห็นและสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นครั้งแรก 

ทำไมต้องเป็น "ลอว์เรนซ์ หว่อง"

การเลือกตั้ง นายหว่อง เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ อาจมาจากหลายปัจจัยที่มีอิทธิพล ตั้งแต่ประสบการณ์การทำงานของเขาในภาครัฐ ความสามารถโดดเด่นในการจัดการสถานการณ์ในระหว่างวิกฤติโควิด-19 และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา

แต่สิ่งสำคัญที่สุดอาจเป็นการยอมรับของคนส่วนใหญ่ในพรรคกิจประชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ควบคุมอำนาจทางการเมืองในสิงคโปร์ ซึ่งการตั้ง นายหว่อง อาจเป็นความลงตัวในเรื่องของการแบ่งอำนาจภายในพรรค ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้ง

แม้เขาจะไม่ได้รับการเลือกจากประชาชนโดยตรง แต่การเลือก นายหว่อง อาจส่งสัญญาณให้เห็นถึงความตั้งใจของพรรคที่จะรักษาความสมดุลของอำนาจภายในพรรค และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจช่วยให้เขาได้รับการยอมรับและสนับสนุนมากขึ้นในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์

วิสัยทัศน์ของผู้นำใหม่สิงคโปร์ และความท้าทาย

ผู้ติดตามการเมืองสิงคโปร์มองว่า นายหว่อง ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในฐานะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการสร้างสิ่งใหม่ๆเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ และนายหว่องมุ่งมั่นที่จะทำให้สิงคโปร์ก้าวไปข้างหน้าในด้านการนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยที่ผ่านมา นายหว่อง มักจะพูดถึงเป้าหมายที่จะทำให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของการนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์ การเสริมสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและวัฒนธรรม และสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

...

ทางด้าน นางชาน เฮง ฉี นักวิชาการชาวสิงคโปร์ที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเตือนว่า รูปแบบทางเศรษฐกิจของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง และเคลื่อนตัวออกจากพลังโลกาภิวัตน์ที่ช่วยให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จ ไปสู่ลัทธิกีดกันทางการค้าที่มากขึ้น โดยมองว่าช่วงเวลาที่ต่างกันทำให้สิงคโปร์ต้องการผู้นำที่แตกต่างจากเดิม

ทางด้าน ลินดา ลิม ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จัก นายหว่อง ตั้งแต่ตอนที่เขาเรียนเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ไม่ใช่ประชาชนที่เลือก นายหว่อง แต่เขาได้รับเลือกเพราะเขาเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในพรรคกิจประชา โดยเขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับหลายๆ คน แต่เขามีความใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี และก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้รับการผลักดันมาเป็นนายกฯ คนใหม่ โดยความท้าทายที่ผู้นำคนใหม่ของสิงคโปร์จะต้องเผชิญคือการนำพาประเทศผ่านช่วงเวลาที่ซับซ้อนในทุกๆ ด้านของเศรษฐกิจและสังคม.