- วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 5 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น มากถึง 87% จากผลคะแนนทั้งหมด ในการเลือกตั้งที่แทบไม่ต้องลุ้น และเผชิญหน้าคู่แข่งที่รัฐบาลคัดสรรมาแล้ว
- การคว้าชัยชนะครั้งนี้ทำให้ปูตินกลายเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของรัสเซีย ทำลายสถิติผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ โจเซฟ สตาลิน และสมเด็จจักรพรรดินีนาถ แคทเธอรีนมหาราช แห่งศตวรรษที่ 18 ซึ่งต่างครองอำนาจเป็นเวลากว่า 30 ปี
- นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ชาวรัสเซียต้องลงคะแนนเสียงเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ 15-17 มี.ค. นอกจากนั้น ระบบการลงคะแนนออนไลน์ระยะไกลยังถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ประท้วงต่อต้านรัฐ ขณะที่บรรดาผู้สังเกตการณ์อิสระวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันมีความซับซ้อนในการรับรองความโปร่งใสของกระบวนการลงคะแนนเสียง
เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า วลาดิเมียร์ ปูติน น่าจะได้นั่งเก้าอี้ผู้นำรัสเซียเป็นสมัยที่ 5 และดำรงตำแหน่งไปจนถึงปี 2573 เป็นอย่างน้อย ซึ่งจะทำให้เขาแซงหน้า "โจเซฟ สตาลิน" เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต กลายเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของรัสเซียในรอบกว่า 200 ปี หลังนับคะแนนไปแล้วมากกว่า 80% ประธานาธิบดีปูติน ผู้นำคนปัจจุบัน ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ แต่ได้รับความสนับสนุนจากพรรคยูไนเต็ดรัสเซีย ที่เป็นพรรครัฐบาล ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากกว่า 87% ส่วนผู้สมัครที่เหลืออีก 3 คน ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนระหว่าง 3-4% เขากล่าวว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาธิปไตยของรัสเซียโปร่งใสยิ่งกว่าหลายชาติในตะวันตก แม้ในความเป็นจริงแล้ว จะไม่มีผู้สมัครจากฝ่ายค้านได้รับอนุญาตให้ลงชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้เลยก็ตาม
...
"การเลือกตั้งครั้งนี้โปร่งใส และเที่ยงธรรม... ไม่เหมือนในสหรัฐฯ ที่ลงคะแนนเสียงผ่านไปรษณีย์ได้ และคุณซื้อคะแนนเสียงได้ด้วยเงิน 10 ดอลลาร์"
ในพิธีมอบรางวัลเกียรติยศสูงสุดแก่ทหารที่เข้าร่วม "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" ของรัสเซียในยูเครน ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นายปูติน วัย 71 ปี กล่าวกับสาธารณชนชาวรัสเซียว่าเขาจะยืนหยัดเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียอีกครั้ง
ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของปูติน กล่าวถึงการตัดสินใจที่จะชิงตำแหน่งผู้นำรัสเซียอีกสมัยว่า "เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ" และไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ขณะที่สื่อของรัฐเริ่มทำงานทันที โดยในทุกช่องทางสื่อของรัฐ ประธานาธิบดีปูตินได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำระดับชาติที่ยืนหยัดเหนือคู่แข่ง
ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งรายงานข่าวทางโทรทัศน์ของรัฐว่า “การสนับสนุนประธานาธิบดีมีมากกว่าการสนับสนุนจากพรรคเพียงอย่างเดียว" และ "วลาดิเมียร์ ปูตินคือผู้สมัครของประชาชน!"
นายปูตินดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาตั้งแต่ปี 2543 หลังได้รับการแต่งตั้งโดยนายบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีคนก่อน ให้เป็นรักษาการประธานาธิบดี ก่อนจะชนะเลือกตั้งครั้งแรกในเดือน มี.ค. 2543 ส่วนในช่วงปี 2551-2555 ปูตินเปลี่ยนบทบาทไปเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญของรัสเซียอนุญาตให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัยติดต่อกัน แต่แม้จะเป็นนายกฯ เขาก็มีอำนาจเต็มรูปแบบ ต่อมาเขาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองสามารถกลับมาชิงตำแหน่งอีกครั้งในปี 2567 โดยการเปลี่ยนวาระการดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้ "กลับเป็นศูนย์" นั่นหมายความว่าเขายังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งต่อไปได้อีก 6 ปีในปี 2573 ซึ่งเขาจะมีอายุครบ 78 ปี
ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ปูติน ได้ยึดอำนาจอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อการรัฐบาลของเขาอีกต่อไป ส่วนบรรดาฝ่ายค้านที่กล่าววิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างตรงไปตรงมา หากไม่เสียชีวิต ก็ถูกจำคุกหรือถูกเนรเทศ
แต่รัฐบาลรัสเซียยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งมีความชอบธรรม และแม้ว่าจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งขั้นสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่จะให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เป็นจำนวนมาก เพื่อนำเสนอถึงหลักฐานถึงความนิยมของเขาที่มีต่อชาวรัสเซีย
ผู้ออกมาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดอย่างเป็นทางการในปี 2561 อยู่ที่ 68% แต่ผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศรายงานว่ามีกรณีสอดไส้บัตรลงคะแนนในหลายกรณี โดยในปีนี้ การลงคะแนนเสียงทำได้ง่ายกว่าที่เคย ชาวรัสเซียต้องลงคะแนนเสียงเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่ 15-17 มี.ค. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ระบบการลงคะแนนออนไลน์ระยะไกลยังถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่ทราบกันดีว่าเป็นพื้นที่ประท้วงต่อต้านรัฐ หรือพื้นที่ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่ามีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง และทางการคาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์สูงกว่า 74%
ด้าน "เมดูซา" สำนักข่าวอิสระของรัสเซีย รายงานว่า ทำเนียบรัฐบาลรัสเซียคาดว่า จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างน้อย 70% และประชาชน 80% จะลงคะแนนให้นายปูติน ซึ่งจะทำลายสถิติปี 2561 ที่มีประชาชน 76.7% ลงคะแนนให้เขา ผลการวิจัยของบีบีซีพบว่า เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าว ทางการรัสเซียได้ระดมเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งทำงานให้กับหน่วยงานทั้งส่วนกลาง ท้องถิ่น รวมถึงองค์กรของรัฐ ให้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและการสนับสนุนประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยประชาชนชาวรัสเซียราว 112.3 ล้านคน มีสิทธิ์ลงคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้
ส่วนในพื้นที่บางส่วนของยูเครนที่ถูกยึดครอง ซึ่งรัสเซียเรียกว่า "ภูมิภาคใหม่" มีการจัดการเลือกตั้ง 10 วันก่อนวันเลือกตั้ง และโซเชียลมีเดียก็เต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อที่กระตุ้นให้ผู้คนไปลงคะแนนเสียง
...
ผู้ที่ร่วมชิงชัยกับผู้นำรัสเซียคือนายนิโคไล คาริโตนอฟ ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งยังคงเป็นพรรคที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสองของรัสเซีย เป็นเวลานานกว่า 30 ปีนับตั้งแต่การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต
ผู้สมัครอีกสองคนคือนายลีโอนิด สลุตสกี จากพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตยแห่งรัสเซีย (LDPR) และนายวลาดิสลาฟ ดูวานคอฟ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาดูมา จากพรรค "ประชาชนใหม่" (New People) ซึ่งเป็นพรรคเสรีนิยมและสนับสนุนธุรกิจที่เพิ่งก่อตั้ง
แม้จะมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่ทั้งสามก็สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลรัสเซียในวงกว้าง และดูเหมือนว่าไม่มีพรรคใดที่สามารถเอาชนะนายปูตินได้
บอริส นาเดซดิน สมาชิกสภาท้องถิ่นกรุงมอสโก ได้ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งความหวังสำหรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มีความคิดตรงข้ามกับรัฐบาล เขาเป็นแขกรับเชิญในรายการทอล์กโชว์ทางโทรทัศน์ของรัฐบ่อยครั้ง และมักวิพากษ์วิจารณ์การทำสงครามของรัสเซียในยูเครน แต่ในประเทศที่มีผู้ถูกจำคุกเนื่องจากแสดงความเห็นต่อต้านสงคราม ทำให้โอกาสในการชิงชัยของเขาแทบเป็นไปไม่ได้ ประชาชนหลายพันคนได้ร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนเขา แต่คณะกรรมการเลือกตั้งของรัสเซียปฏิเสธข้อเสนอของเขา โดยอ้างว่ามากกว่า 15% ของรายชื่อที่เขารวบรวมได้มีข้อบกพร่อง และทำให้นายนาเดซดินถูกตัดสิทธิ์ในที่สุด
ส่วนการดีเบตทางโทรทัศน์ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง นายวลาดิเมียร์ ปูตินไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่การรายงานข่าวทางโทรทัศน์มุ่งเน้นไปที่การประชุมประจำของเขากับคนงานในโรงงาน ทหาร และนักศึกษา ในขณะที่การปราศรัยของรัฐเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็ถูกมองว่าเป็นการปูทางก่อนการเลือกตั้ง ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเครดิตให้แก่เขาในฐานะผู้นำของประชาชน
...
แม้ว่าสุนทรพจน์บางส่วนจะกล่าวถึงสงครามในยูเครน แต่ก็เน้นไปที่ประเด็นภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ที่อาจเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าชาวรัสเซียจำนวนมากกังวลกับปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว มากกว่าที่รัสเซียจะประสบความสำเร็จในสนามรบหรือความขัดแย้งอันไม่มีที่สิ้นสุดกับชาติตะวันตก
ผู้นำรัสเซียเสนอมาตรการทางสังคมต่างๆ มากมาย รวมถึงระบบภาษีที่ทันสมัยซึ่งมีความยุติธรรมต่อประชาชนชาวรัสเซีย และสิ่งจูงใจที่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มอัตราการเกิดของรัสเซียที่เริ่มลดน้อยลง
คำปราศรัยดังกล่าวช่วยชี้ให้เห็นประเด็นต่างๆ ที่รัสเซียกำลังเผชิญอยู่ รวมถึงปัญหาความยากจนที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัว การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณสุขที่ตกต่ำ และสำหรับผู้นำที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมา 20 ปี นายปูตินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ ในทางกลับกัน งบประมาณถึง 40% ของรัสเซียในปี 2567 ถูกใช้ไปในด้านความมั่นคงและกลาโหม ขณะที่มาตรการหลายอย่างของเขาจำเป็นต้องมีการอัดฉีดเงินสดหรือการลงทุนจำนวนมาก และรัสเซียก็ประสบปัญหาคอร์รัปชันร้ายแรง ซึ่งหมายความว่าเงินทุนมักจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้
มีการประท้วงต่อต้านการเลือกตั้งเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในวันลงคะแนนเสียงวันแรกที่มีการเทสีลงในหีบบัตรลงคะแนน และยังมีกรณีลอบวางเพลิงด้วย แต่กลอุบายที่เห็นได้ชัดเกิดจากการประท้วงที่เรียกว่า "เที่ยงวันต่อต้านปูติน" ซึ่งมีการกระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับปูตินออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งในรัสเซียและสถานทูตของรัสเซียในต่างประเทศเมื่อวันอาทิตย์อย่างท่วมท้น และลงคะแนนเสียงให้ใครก็ได้ยกเว้นเขา
ความคิดริเริ่มนี้ ได้รับแนวคิดมาจากนายอเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซียซึ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว และได้รับการสนับสนุนจากยูเลีย นาวาลนายา ภรรยาม่ายของเขา ซึ่งกล่าวว่าเขาถูกสังหารโดยนายปูติน
...
นางนาวาลนายากล่าวว่า จุดประสงค์หลักของแคมเปญนี้เพื่อให้ผู้สนับสนุนระบุตัวตนของกันและกันอย่างเงียบๆ ที่หน่วยเลือกตั้ง แทนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
หลังประธานาธิบดีปูตินได้รับทราบผลการเลือกตั้ง เขากล่าวขอบคุณผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างล้นหลามสำหรับความไว้วางใจที่พวกเขามอบให้ "ก่อนอื่น ผมอยากจะขอบคุณพลเมืองของรัสเซีย เราทุกคนเป็นทีมเดียวกัน ประชาชนทุกคนที่มาลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้ง ผมอยากจะพูดอีกครั้งว่าสิ่งนี้สำคัญมาก และแหล่งที่มาของอำนาจในประเทศคือชาวรัสเซีย"
อย่างไรก็ตาม ในอีก 6 ปีข้างหน้า หลายคนเชื่อว่าภาพลวงตาของประชาธิปไตยในรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป.
ที่มา : BBC
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign