- อเล็กเซ นาวาลนี นักวิจารณ์การเมืองฝีปากกล้าและเป็นคู่ปรับคนสำคัญของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย หมดสติและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 ขณะอยู่ในเรือนจำในรัสเซียเพื่อรับโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ทศวรรษจากความผิดในคดีละเมิดทัณฑ์บน หมิ่นศาล และฉ้อโกง
- ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "Navalny" ได้รับรางวัลออสการ์สาขาสารคดียอดเยี่ยมปี 2566 ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถูกวางยาพิษของนายอเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านชาวรัสเซีย และการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว
- ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกออกฉายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากนานาชาติ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนกล่าวว่า มันเป็น "หนึ่งในสิ่งที่ทำให้อ้าปากค้างที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นมา" ในขณะที่นิตยสารไทม์ เรียกหนังเรื่องนี้ว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสารคดีที่น่าตื่นเต้นที่สุดเรื่องหนึ่งที่จะออกฉายในปีนี้หรือปีใดก็ตาม"
"ถ้าคุณถูกฆ่า ถ้ามันเกิดขึ้นจริง คุณจะฝากข้อความอะไรไว้กับชาวรัสเซีย?"
นี่เป็นคำถามแรกที่แดเนียล โรเฮอร์ ผู้กำกับชาวแคนาดาถามอเล็กเซ นาวาลนี ในสารคดีเรื่อง "Navalny" ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาสารคดียอดเยี่ยมปี 2566
"เอาน่า แดเนียล ไม่" นาวาลนีตอบพร้อมยิ้ม "ไม่มีทางหรอก มันเหมือนกับว่าคุณกำลังสร้างหนังเกี่ยวกับคดีการตายของผม"

...
คำพูดเหล่านี้กลับมาสร้างความสะเทือนใจอีกครั้ง หลังข่าวที่ว่านักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวรัสเซียวัย 47 ปีรายนี้เสียชีวิตในคุกที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตอาร์กติกเซอร์เคิลของรัสเซียเมื่อวันศุกร์ (16 ก.พ.)
เจ้าหน้าที่เรือนจำรัสเซียกล่าวว่านาวาลนี ที่มักแสดงการวิพากษ์วิจารณ์รัสเซีย เริ่มมีอาการไม่สบายหลังจากเดินเล่น ทีมงานของนาวาลนีกล่าวว่า ทางการรัสเซียจงใจเก็บศพของเขาไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ "ปกปิดหลักฐาน" ได้
แม้ว่านาวาลนีจะต้องเผชิญกับอันตรายในรัสเซียหลายครั้งหลายคราว แต่โรเฮอร์บอกว่าเขายังคงตกใจมากเมื่อได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนของเขา
"ขณะนี้ เรากำลังถูกครอบงำด้วยเมฆแห่งความโศกเศร้าและความเศร้าโศกที่ผมสัมผัสได้ มันทำให้ผมตกใจมาก" เขากล่าวว่า "เมื่อทราบข่าวผมตกใจมาก หรือแม้แต่ใครก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ไม่ควรตกใจ แต่ก็ไม่ควรที่จะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ขนาดนั้น"
นายโรเฮอร์เล่าถึงการพัฒนาของมิตรภาพระหว่างเขากับนาวาลนีในระหว่างโปรเจกต์ภาพยนตร์
"ผมคิดว่าการเคารพซึ่งกันและกันของเรานั้นเกิดจากการมีอารมณ์ขันร่วมกัน เขาเป็นคนตลกมาก เขามักหัวเราะ ภายในเวลาประมาณ 10 วินาทีของการพบกัน เขาก็ล้อเลียนผมและพูดตลกที่ทำให้ผมรู้สึกอาย ซึ่งผมก็ชอบมาก ผมก็เลยเล่นมุกตลกกลับไปบ้าง" นายโรเฮอร์กล่าว

ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามนาวาลนีในขณะที่เขาและทีมงาน พยายามคลี่คลายแผนการทำร้ายเขาด้วยสารพิษทำลายระบบประสาท "โนวีชอก"
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 นาวาลนีมีอาการป่วยก่อนหมดสติบนเครื่องบิน ระหว่างเดินทางจากเมืองทอมสก์ไปกรุงมอสโก ซึ่งทีมงานคาดว่าเขาถูกลอบวางยาในน้ำชาที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในสนามบิน และถูกนำส่งโรงพยาบาลในเมืองออมสก์อย่างเร่งด่วน ต่อมาทางการรัสเซียอนุญาตให้ส่งตัวนาวาลนีไปรักษาตัวที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี แต่อาการของเขายังอยู่ในขั้นโคม่า
รัฐบาลเยอรมนีเปิดเผยว่า การทดสอบที่ดำเนินการโดยกองทัพ พบ "หลักฐานที่ชัดเจนของสารเคมีทำลายระบบประสาทในกลุ่มโนวีชอก" ซึ่งปกติแล้วจะถูกนำไปใช้เป็นอาวุธเคมี ด้านรัฐบาลรัสเซียปฏิเสธการมีส่วนรู้เห็น และปฏิเสธการค้นพบ "โนวีชอก" ขณะที่หลายคนยังคงสงสัย รวมถึงนาวาลนีที่ลงมือสืบสวนเรื่องนี้ร่วมกับทีมนักข่าว
ในฉากพิเศษฉากหนึ่งของสารคดีเรื่องนี้ นาวาลนีหลอกเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ให้ยอมรับในการพูดคุยทางโทรศัพท์ว่าอาวุธเคมีถูกราดบนชุดชั้นในของนาวาลนีที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองทอมสก์
คอนสแตนติน คุดรยาฟเซฟ เจ้าหน้าที่สายลับกล่าวว่า หากเครื่องบินไม่ได้ลงจอดฉุกเฉิน นาวาลนีคงเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่ทราบชะตากรรมของเจ้าหน้าที่รายนี้
เชน บอริส ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวว่า "เราทุกคนตกตะลึงมาก" เขากล่าวว่า "เมื่อทีมเริ่มการสัมภาษณ์ ผมไม่คิดว่าจะมีใครคาดหวังว่าการโทรจะให้ผลลัพธ์แบบนี้"

...
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามนาวาลนี ในขณะที่เขาฟื้นตัวจากสารพิษและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว มันถ่ายทอดภาพการเดินทางกลับรัสเซีย ซึ่งเขาถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาถึง
โรเฮอร์บอกว่าเขาและนาวาลนีสนิทสนมกันในช่วง 2 เดือนของการถ่ายทำ แต่เนื้อหาในการถ่ายทำไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมด "มีช่วงเวลาที่ค่อนข้างตึงเครียด ซึ่งผมต้องถามเขาในสิ่งที่ไม่สบายใจ แม้แต่คำถามแรกในหนัง ซึ่งเป็นคำถามที่ชวนให้น่าอึดอัดมาก แต่หน้าที่สำคัญที่สุดของผมคือการสร้างภาพยนตร์สารคดี"
นายโรเฮอร์กล่าวว่าเขาและนาวาลนีแลกเปลี่ยนจดหมายกัน หลังจากที่เขาถูกจำคุกเมื่อเดินทางกลับรัสเซีย "ผมดีใจมากที่ผมยังเก็บมันไว้มาจนถึงทุกวันนี้ ผมเก็บจดหมายไว้ในห้องทำงาน และผมจะรักษาสิ่งเหล่านั้นตลอดไป"
เรื่องราวที่เล่าถึงการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาของนาวาลนี เป็นหัวข้อที่ดำเนินไปตลอดทั้งเรื่อง ในฉากหนึ่ง ระหว่างการสัมภาษณ์ หนึ่งในทีมของนาวาลนีถามเขาว่า เขารู้สึกหงุดหงิดกับคำถามเกี่ยวกับอดีตของเขาหรือไม่
นาวาลนีตอบว่าไม่ แต่กล่าวเสริมว่า "ผมก็แค่รู้ว่าเขากำลังถ่ายหนังที่เขาจะนำออกฉาย หากผมโดนทำร้าย"
ในความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกออกฉายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากนานาชาติ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนกล่าวว่า มันเป็น "หนึ่งในสิ่งที่ทำให้อ้าปากค้างที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นมา" ในขณะที่นิตยสารไทม์ เรียกหนังเรื่องนี้ว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสารคดีที่น่าตื่นเต้นที่สุดเรื่องหนึ่งที่จะออกฉายในปีนี้หรือปีใดก็ตาม"
หลายคนกำลังชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในมุมมองใหม่
โรเฮอร์ถามในฉากสุดท้ายว่า "อเล็กเซ หากคุณถูกจับและถูกจำคุก หรือเกิดเรื่องไม่คาดคิดและถูกฆ่า คุณจะทิ้งข้อความอะไรไว้ให้กับชาวรัสเซีย?"
...
นาวาลนีตอบสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษ ก่อนที่ผู้กำกับจะแนะให้เขากลับไปใช้ภาษาแม่ของเขา
เขาจบคำถามเป็นภาษารัสเซียว่า: "เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราแข็งแกร่งแค่ไหน วิธีเดียวที่ความชั่วร้ายจะได้รับชัยชนะก็คือการที่คนดีไม่ทำอะไรเลย" เขากล่าวก่อนจะมองกล้องอย่างรู้เท่าทันว่า "อย่านิ่งเฉย"

โรเฮอร์กล่าวว่า การสร้างหนังเรื่องนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของเขา "มันมีผลกระทบอย่างมากต่อผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง"
"เมื่อผมย้อนคิดถึงชีวิตของเขา มันจะคอยเตือนใจผมว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับชีวิตของเรา หากคุณมีความร่าเริงและไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ ก็จงหัวเราะต่อไป เขียนข้อความวันวาเลนไทน์ให้ภรรยาของคุณต่อไป แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น"
"เท่าที่เรารู้ แม้จะไม่มีอะไรราบรื่นสำหรับอเล็กเซ แต่ชีวิตของเขาคือบทเรียนชั้นเลิศในเรื่องความกล้าหาญและความยืดหยุ่น และเป็นเสมือนแสงสว่างในความมืด".
...
ที่มา: BBC
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign