- ในอดีต หากกล่าวถึงชื่อของนายปราโบโว ซูเบียนโต อาจทำให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ดูเหมือนจะหลงใหลกับการเปลี่ยนและพลิกโฉมครั้งใหม่ของอดีตผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและการหายสาบสูญของนักเคลื่อนไหวจำนวนมาก
- ทีมหาเสียงของนายปราโบโว ปรับภาพลักษณ์ของเขาจากทหารที่มีความเคร่งขรึม ให้กลายเป็นคุณปู่ที่มีความน่ารัก ด้วยการใช้มีมเป็นตัวการ์ตูนที่มีรูปร่างตุ้ยนุ้ย ทำให้เขาถูกตั้งฉายาว่า "เจมอย" ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่น่ากอดและน่ารัก ส่วนบรรดาผู้สนับสนุนซึ่งเป็นชาวเจนซีและมิลเลนเนียลส์ เรียกตัวเองว่า "ทีมเจมอย"
- นักเคลื่อนไหวกล่าวว่า หากนายปราโบโวได้รัยชัยชนะ ก็จะถือเป็นความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงสำหรับครอบครัวของเหยื่อและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนั้น สิ่งที่หลายคนกังวลคือการกลับมาของ "ปราโบโวคนเก่า" ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์ร้อนและบุคลิกที่ไม่แน่นอน
ในอดีต ชื่อของปราโบโว ซูเบียนโต อาจทำให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัว
แต่ตอนนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์ดูเหมือนจะหลงใหลกับการเปลี่ยนและพลิกโฉมครั้งใหม่ของรัฐมนตรีกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษรายนี้ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและการหายสาบสูญของคนจำนวนมาก ที่กำลังกลายเป็นคุณปู่ที่น่ารัก ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นมีมในการเลือกตั้ง
...
อัลเบิร์ต โจชัว วัย 25 ปีผู้สนับสนุนของเขากล่าวว่า "แม้เขาจะแก่กว่าเรามาก แต่เขาสามารถยอมรับคนรุ่นของฉันได้"
ปัจจุบัน นายปราโบโวในวัย 72 ปี กำลังลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากนายโจโค วิโดโด ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ เขาให้สัญญาว่าจะรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่นายวิโดโดพยายามผลักดันในช่วงทศวรรษที่เขาครองอำนาจ
จนถึงขณะนี้ ผลการสำรวจพบว่า นายปราโบโว นำหน้าคู่แข่งอย่างนายกันจาร์ ปราโนโว และอานีส บาสเวดาน ซึ่งมีอายุ 50 ปี และมีประสบการณ์การบริหารท้องถิ่นของอินโดนีเซียในฐานะผู้ว่าการจังหวัด โดยทั้งสองใช้ประเด็นความมั่นคงในการทำงาน โครงสร้างพื้นฐาน และบทบาททางการทูตของอินโดนีเซีย มาเป็นนโยบายในการหาเสียง
ส่วนผู้ที่หาเสียงร่วมกับนายปราโบโว คือนายยิบราน รากาบูมิง รากา บุตรชายคนโตของนายวิโดโด เป็นทางเลือกที่หลายคนมองว่าเป็นการส่งตัวแทนโดยปริยายจากประธานาธิบดี ซึ่งยังไม่ได้ให้การรับรองบุคคลใด รวมถึงนายปราโนโว ผู้สมัครจากพรรคของเขาเอง
แต่ความเป็นไปได้ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายปราโบโว ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับหลายๆ คนซึ่งกล่าวว่าเขาไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อการลักพาตัวและสังหารนักเคลื่อนไหวนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยเมื่อหลายสิบปีก่อน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยคนหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวว่าเธอ "หวาดกลัว" ว่าเขาจะชนะ "หากเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปิดปากคนได้ เขาก็จะปิดปากคนเหล่านั้นทันทีหากเขาได้รับเลือก"
เธอกล่าวว่า ภาพ "ความน่ารัก" แทบจะไม่ทำให้เขาผู้นำมีคุณสมบัติเหมาะสม "ถ้าคุณคิดว่าผู้นำควรจะเป็นอย่างนั้น คุณก็ควรเลือกลูกแมว"
แมวยังถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญหาเสียงทางโซเชียลมีเดียของนายปราโบโวอีกด้วย โดยเจ้า "บ๊อบบี้" แมวจรจัดสีน้ำตาลขาวของเขา มีบัญชีอินสตาแกรมเป็นของตัวเอง ซึ่งอธิบายว่าเขาเป็น "ผู้รักชาติ"
จากนั้นก็มีวิดีโอ TikTok ของนายปราโบโว ที่แสดงการเคลื่อนไหวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาบนเวที หรือการยิงหัวใจไปที่บรรดาผู้ชม กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้เรียกเขาถูกเรียกว่า "เจมอย" ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่น่ากอดและน่ารัก ผู้สนับสนุนรุ่นเยาว์ของเขาเรียกตัวเองว่า "ทีมเจมอย"
...
โซเชียลมีเดียเป็นรากฐานสำคัญของการเผยแพร่การหาเสียงของเขา คนรุ่นมิลเลนเนียลส์และ "เจนซี" มีจำนวนคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง 205 ล้านคนของอินโดนีเซีย และยังเป็นประชากรกลุ่มใหญ่จาก 167 ล้านคนที่ใช้โซเชียลมีเดียในอินโดนีเซีย
ข้อมูลของเมตาระบุว่า บัญชีเฟซบุ๊กและบัญชีที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการของนายปราโบโวใช้จ่ายไป 144,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการโฆษณาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา นั่นเป็นเกือบสองเท่าของการใช้จ่ายของนายปราโนโว และเป็นสามเท่าของการใช้จ่ายของนายบาสวีดาน
โยเอส ซี เคนาวาส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอตมา จายา กล่าวว่า "เราแทบไม่เห็นภาพที่แท้จริงของปราโบโวอีกต่อไป” เขากล่าวว่า แทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ต ตามห้องรับแขกของบ้าน และถนนกลับเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของนายปราโบโวที่เป็นตัวการ์ตูนรูปร่างอ้วน "อวตารใหม่นี้มีอยู่ทั่วอินโดนีเซีย" นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเบาลง และจนถึงตอนนี้ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จ
เดเด็ก ประยูดี โฆษกการรณรงค์หาเสียงของนายปราโบโว กล่าวว่า พวกเขาเพียงพยายามดึงดูดคนหนุ่มสาวผ่านแคมเปญที่สนุกสนาน "การเมืองสามารถถ่ายทอดผ่านวิธีการที่แตกต่างกัน... นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
...
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเจนซีรายหนึ่ง กล่าวว่า เธอสนใจแผนของนายปราโบโวในการพัฒนาพลังงานทดแทนและภาคการเกษตร เธอเรียกแคมเปญนี้ว่า "น่ารักมาก สนุก และเข้าถึงได้ ดูไม่หนักหนาเหมือนปีก่อนๆ"
นายปราโบโวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและพ่ายแพ้ในปี 2557 และ 2562 แต่การหาเสียงครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างมาก
ดร. อีฟ วาร์เบอร์ตัน ผู้อำนวยการสถาบันอินโดนีเซียแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า “เหตุผลก็คือ ความพ่ายแพ้ของปราโบโว เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและท่าทีชวนวิวาทของเขาทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนรู้สึกแปลกแยก”
นายปราโบโวยังมุ่งเป้าไปที่คนรุ่นที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอำนาจของเขา เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างการปกครองแบบเผด็จการของนายพลซูฮาร์โต ซึ่งถูกบีบออกจากตำแหน่งในปี 2541 หลังการอยู่ในอำนาจนานถึง 32 ปี ซึ่งชาวอินโดนีเซียจำนวนมากได้ยกย่องว่าเขาได้ช่วยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย แต่ช่วงเวลาดังกล่ายังเป็นช่วงเวลาของการปราบปรามอย่างโหดร้ายและการนองเลือด
แต่ในอีก 25 ปีต่อมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่กล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะตัดสินนายปราโบโว จากการจัดการกับปัญหาการว่างงานและค่าครองชีพ เขาสัญญาว่าจะสร้างงาน 19 ล้านตำแหน่งในอีกห้าปีข้างหน้า
...
การรณรงค์หาเสียงของนายปราโบโว ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ในอดีต แม้ว่าเขาจะถูกไล่ออกจากกองทัพ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทในการหายตัวไปของนักเคลื่อนไหวก็ตาม ในปี 2014 เขาบอกกับสำนักข่าวอัลจาซีราว่า เขาได้สั่งให้มีการลักพาตัว เพราะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วิดีโอต่างๆ เผยให้เห็นผู้คนหลั่งน้ำตา แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเขา โดยอ้างว่าเขา "ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายตรงข้าม" โดยผู้คนเหล่านั้นมักเป็นคนหนุ่มสาว ขณะที่ผู้เฝ้าสังเกตการเลือกตั้งบางคนสงสัยว่าคนเหล่านี้คือผู้สนับสนุนที่แท้จริงหรือไม่
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนหนึ่งกล่าวว่า การเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายปราโบโว เป็น "ข้อพิสูจน์" ว่าเขาได้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว
นายปราโบโวเกิดในครอบครัวการเมืองที่ฐานะร่ำรวย เป็นบุตรชายของนักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของอินโดนีเซีย เขาติดตามพ่อของเขาที่เดินทางออกจากประเทศในปี 2500 ภายใต้ความขัดแย้งมากมาย และใช้เวลาหนึ่งทศวรรษในวัยเด็กของเขาในยุโรป หลังจากกลับมายังอินโดนีเซีย เขาได้เข้าร่วมในกองทัพและได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว จนอยู่ในฐานะหัวหน้ากองกำลังพิเศษชั้นยอดของอินโดนีเซีย หรือ "โคปาสซุส" (Kopassus)
ในขณะนั้นเขาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในติมอร์ตะวันออก ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยนี้ บทบาทที่แท้จริงของเขาในการปฏิบัติการทางทหารในติมอร์ตะวันออกที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยชีวิตนั้นไม่เคยได้รับการพิสูจน์ และเขาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่จุดด่างพร้อยในอาชีพการงานของเขายังคงอยู่
เขาแต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของซูฮาร์โต และยังคงอยู่ในวงในของผู้นำเผด็จการ ในขณะที่ยุคสมัยของซูฮาร์โตล่มสลายในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หน่วยโคปาสซุสถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวนักเคลื่อนไหวนักศึกษามากกว่า 20 คนที่ต่อต้านรัฐบาล มีอย่างน้อยสิบกว่าคนยังคงสูญหายและคาดว่าเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้ที่รอดชีวิตกล่าวว่าถูกทรมาน
นายปราโบโวถูกปลดออกจากกองทัพ เนรเทศตัวเองไปอยู่ในจอร์แดน ถูกขึ้นบัญชีดำในออสเตรเลีย และถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา
แต่เขากลับมาอินโดนีเซียอีกครั้งในปี 2563 เมื่อนายวิโดโดแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม และเปลี่ยนคู่แข่งให้กลายเป็นพันธมิตร ความเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจนี้เกิดขึ้นหลังความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ที่นายปราโบโวกล่าวโทษว่าเกิดจากการโกงเลือกตั้ง และการประท้วงอย่างรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย
สุจิวาตี ภรรยาม่ายของนายมูนีร์ ซาอิด ทาลิบ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนคนสำคัญ กล่าวว่า "เราจะคาดหวังความยุติธรรมได้อย่างไร หากผู้กระทำความผิดได้เป็นประธานาธิบดี" ทั้งนี้ มูนีร์ ซาอิด ทาลิบใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาในการสืบสวนการหายตัวไปของนักเคลื่อนไหวจำนวนมากในปี 2541 เขาถูกลอบสังหารบนเครื่องบินในปี 2547 นักบินถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่สุจิวาตีไม่เชื่อว่านั่นคือเรื่องราวทั้งหมด
เธอกล่าวว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของปราโบโว "จะเป็นความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงสำหรับเรา ครอบครัวของเหยื่อ และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน"
บางคนกล่าวว่า การสนับสนุนของนายวิโดโดช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของนายปราโบโว นายเคนาวาสเสริมว่า โซเชียลมีเดียนั้น "ไม่เพียงพอ" และ "วิธีการที่กลไกของรัฐสนับสนุนการหาเสียงของเขา เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม"
หลายคนชี้ไปที่นายยิบราน ผู้ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งเป็นลูกชายของนายวิโดโด โดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพี่เขยของนายวิโดโดทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้พิพากษา ได้เปิดทางให้ชายวัย 36 ปีรายนี้ลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ทั้งที่ตามกฎหมายอินโดนีเซียกำหนดให้ต้องมีอายุมากกว่า
สิ่งที่หลายคนกังวลคือการกลับมาของ "ปราโบโวคนเก่า" ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์ร้อนและบุคลิกที่ไม่แน่นอน ดร.วอร์เบอร์ตันกล่าวว่าการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งล่าสุดของเขามีนัยถึงเรื่องนั้น เธอกล่าวว่า "ไม่มีใครรู้ว่าปราโบโวจะปกครองประเทศอย่างไร"
"เขาอาจจะเป็นประธานาธิบดีที่เอาแต่ใจและสนใจในศักดิ์ศรีและความเอิกเกริกของตำแหน่งมากที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ที่รู้จักเขาดีจะเน้นย้ำถึงบุคลิกที่คาดเดาไม่ได้ของเขา และนั่นไม่เป็นผลดีต่อการปกครองประเทศ"
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign