หากคุณคือพ่อครัวมือฉมังที่กำลังหาโอกาสไปทำงานที่ร้านอาหารไทยในกรุงลอนดอน หรือคุณเป็นพนักงานนวดไทยที่อยากหารายได้มากขึ้นในเมืองแมนเชสเตอร์ อย่ารอช้า รีบพัฒนาภาษาอังกฤษ สอบ IELTS ให้ได้ตามเกณฑ์ และรีบติดต่อกับนายจ้างเพื่อการยื่นขอวีซ่าทำงานโดยด่วนก่อนเมษายน ปี 2024 มิฉะนั้น ความฝันคุณจะหลุดลอยไป 

หรือหากคุณพบรักกับคนอังกฤษในไทย และวางแผนจะใช้ชีวิตกับคนรักในสหราชอาณาจักร แต่คนรักของคุณมีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 1.42 แสนบาท คุณควรรีบสมัครขอวีซ่าสมรสโดยเร็วก่อนเมษายน ปี 2024 เช่นกัน มิฉะนั้น ความฝันคุณจะมลายไป

ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจาก กระทรวงกิจการภายในของสหราชอาณาจักร หรือ Home Office เพิ่งประกาศกฎเกณฑ์ใหม่เมื่อ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา สำหรับแรงงานฝีมือจากต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาทำงานบนเกาะอังกฤษ โดยปรับขึ้นเงินรายได้ขั้นต่ำต่อปีของแรงงานเหล่านั้น จากปีละ 26,200 ปอนด์ (1.15 ล้านบาท) เป็น 38,700 ปอนด์ (1.7 ล้านบาท) หรือสูงขึ้นจากเดิม 48% โดยมีผลบังคับใช้ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซึ่งก็คือตั้งแต่เดือนเมษายน เป็นต้นไป

มาตรการดังกล่าว ออกมาเพื่อลดจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยอย่างถูกกฎหมายในสหราชอาณาจักร คนเหล่านี้มีจำนวนมากเข้ามาทำงานหลายชนิดที่คนอังกฤษไม่อยากทำ จนคนในประเทศจำนวนหนึ่งไม่พอใจ ทำให้รัฐบาลจากพรรคคอนเซอร์เวทีฟต้องออกมาตรการใหม่นี้ หลังพร่ำสัญญากับประชาชนมาหลายปีว่าจะลดจำนวนคนเข้าเมืองสุทธิให้ได้อยู่ในระดับแสนต้นๆ ต่อปี ไม่ใช่ระดับเกือบล้านคนเช่นในปัจจุบัน

...

ตัวเลขล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ระบุว่า ตัวเลขผู้เข้าเมืองสุทธิของประเทศอยู่ที่ 745,000 คน ณ สิ้นปี 2022 ซี่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกมา หากนับจนถึงสิ้นมิถุนายนปีนี้ ตัวเลขผู้เข้าเมืองสุทธิก็อยู่ที่ 672,000 คน สูงกว่าสองเท่าตัวของปี 2015 สร้างความไม่พอใจให้คนอังกฤษจำนวนมาก จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอังกฤษเสียงข้างมากลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอีก 1 ปีต่อมา

นายเจมส์ เคลฟเวอร์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือ กระทรวงกิจการภายใน แถลงแผนในการควบคุมจำนวนผู้เข้าเมืองต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 4 ธันวาคม และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2024 ซึ่งประกอบไปด้วย

  • เพิ่มเกณฑ์รายได้ต่อปีสำหรับแรงงานที่มีทักษะเป็น 38,700 ปอนด์ จาก 26,200 ปอนด์ หรือเพิ่มขึ้น 48% แต่ระเบียบนี้ไม่ครอบคลุมแรงงานต่างชาติที่ทำงานด้านการดูแลและการพยาบาล

  • เพิ่มข้อกำหนดรายได้ขั้นต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการอุปถัมภ์คู่สมรสชาวต่างชาติให้มาอยู่ด้วยกันในสหราชอาณาจักร เป็น 38,700 ปอนด์ จากปัจจุบันที่ 18,600 ปอนด์ เพิ่มขึ้น 108%

  • ห้ามแรงงานต่างชาติที่ทำงานด้านการดูแลและการพยาบาลรายใหม่ขอวีซ่านำสมาชิกครอบครัวมาอยู่อาศัยในสหราชอาณาจักรด้วย

นายเคลฟเวอร์ลี บอกว่าแผนการนี้จะช่วยลดจำนวนผู้เข้าเมืองสุทธิได้ลงปีละ 300,000 คน แต่ภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษ ไม่เห็นด้วย และคนอังกฤษทั่วไปจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่า สิทธิในการอยู่กับคู่รักถูกลิดรอน

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วว่าจะปรับขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพรายปีต่อแรงงานต่างประเทศจากปีละ 624 ปอนด์ (27,500 บาท) เป็น 1,035 ปอนด์ (45,540 บาท) โดยมีผลตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแรงงานต่างชาติ 

ปฏิกิริยาคนอังกฤษ

สมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษ (Confederation of British Industry) ตัวแทนกลุ่มธุรกิจใหญ่ในสหราชอาณาจักร ออกมาบอกว่า “มาตรการนี้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งกำลังฉุดรั้งการลงทุนและการเติบโตของภาคธุรกิจ”

สื่ออังกฤษส่วนหนึ่งก็รายงานความไม่พอใจของประชาชนอังกฤษที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ เพราะกติกาใหม่จะทำให้การพาครอบครัวมาลงหลักที่สหราชอาณาจักรเป็นเรื่องยากมาก

ดิอีฟนิ่งสแตนดาร์ดอ้างคำให้สัมภาษณ์ของแม่ลูกสองชาวอังกฤษ ที่กำลังขอให้องค์กรการกุศลช่วยทำเรื่องขอพาสามีชาวตุรกีมาอยู่ด้วยที่เมืองเลสเตอร์ บอกว่า นโยบายใหม่เป็นเรื่อง “ต่ำช้า” ที่จะทำให้พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน

“ฉันกลัวมาก ถ้ารัฐบาลทำแบบนี้กับพลเมืองอังกฤษ สกัดกั้นสิทธิในชีวิตครอบครัวด้วยวิธีแบบนี้ ด้วยลายเซ็นจากปากกา (เพื่อประกาศใช้กฎหมาย) และจะเกิดอะไรขึ้นอีก”

ข้อกำหนดรายได้ขั้นต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการอุปถัมภ์คู่สมรสชาวต่างชาติให้มาอยู่ด้วยกันในสหราชอาณาจักรที่เพิ่มขึ้นเป็น 38,700 ปอนด์นี้ ถือว่าสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในอังกฤษที่อยู่ที่ 34,963 ปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำนักงานสถิติแห่งชาติประกาศเมื่อเมษายนที่ผ่านมา

คนไทยที่อยากมาควรทำอย่างไร

มนูญ จุนชัย ทนายความชาวไทยในกรุงลอนดอนที่รับทำคดีด้านการเข้าเมืองแก่คนไทยในอังกฤษ กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า คนไทยที่ประสงค์จะมาทำงานหรือใช้ชีวิตในอังกฤษ แต่ยังคุณสมบัติไม่ครบถ้วน เช่น ยังสอบภาษาอังกฤษไม่ผ่าน หรือมีคุณสมบัติด้านทักษะการทำงานยังไม่ครบ ควรเร่งมือให้พร้อมก่อนกฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้

...

มนูญ จุนชัย ทนายความชาวไทยในกรุงลอนดอนที่รับทำคดีด้านการเข้าเมืองแก่คนไทยในอังกฤษ
มนูญ จุนชัย ทนายความชาวไทยในกรุงลอนดอนที่รับทำคดีด้านการเข้าเมืองแก่คนไทยในอังกฤษ

“ให้รีบทำกันเลยครับ” มนูญบอกไปถึงคนไทยที่กำลังลังเลเรื่องการขอวีซ่ามาทำงานในอังกฤษในขณะนี้ 

“หลังกฎใหม่ออก คนไทยจำนวนหนึ่งคงมากันยากขึ้น” ทนายมนูญ ที่เพิ่งเปิดสำนักงาน Junchai & Co ในพัทยา กล่าวในกรุงลอนดอน

“คิดดูว่าค่าประกันสุขภาพขึ้นไปเป็นปีละ 1,035 ปอนด์ ซึ่งแรงงานฝีมือเหล่านี้ ก็ต้องจ่ายรวดเดียว 5 ปี สูงมากครับ คนไม่ค่อยมีเงินคงลำบากมาก”  

กฎใหม่กระทบธุรกิจไทยในอังกฤษอย่างไร

ปัจจุบัน มีคนไทยพำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรรวม 44,665 คน แบ่งเป็นในอังกฤษ (England) และเวลส์ 41,673 คน สกอตแลนด์ 2,267 และไอร์แลนด์เหนือ 725 คน มีร้านอาหารไทยทั้งที่คนไทยและคนอังกฤษเป็นเจ้าของกว่า 2,000 ร้านทั่วเกาะอังกฤษ และร้านนวดไทย ที่คนไทยเป็นเจ้าของ และร้านที่ต่างชาติเป็นเจ้าของแต่ใช้ชื่อ “นวดไทย” นับร้อยแห่ง

...

พิชญา เชื่อมทอง ผู้จัดการทั่วไปของ Nuad Thai Limited บริษัทที่เป็นเจ้าของร้าน “นวดไทย” 7 สาขาในกรุงลอนดอนและละแวกใกล้เคียง กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ถึงผลกระทบของมาตรการใหม่นี้ต่อธุรกิจร้านนวดไทยในสหราชอาณาจักรว่าจะยิ่งทำให้หมอนวดขาดแคลนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะทุกวันนี้มีผู้สนใจเปิดร้านนวดมากขึ้น มีการแข่งขันดึงตัวหมอนวดกันไปมา และหลายร้านต้องนำหมอนวดจากไทยเข้ามาให้บริการในสหราชอาณาจักร รวมถึงบริษัท Nuad Thai Limited ด้วย ที่มีแผนก่อนประกาศใหม่นี้ว่าจะนำเข้ามา 10-12 คน

“เมื่อประกาศออกมาแบบนี้ เราคงต้องรีบนำคนเข้ามาให้เร็วขึ้น ก่อนกติกาใหม่มีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน” พิชญาที่ดูแลพนักงานกว่า 80 ชีวิตในเครือ กล่าว 

ผู้บริหารชาวไทยที่อาศัยอยู่ในลอนดอนมา 19 ปี กล่าวว่า โดยปกติรายได้ที่พนักงานนวดของร้านเธอได้ต่อปีนั้นสูงกว่าอัตราเก่า 26,200 ปอนด์ อยู่ราว 10-20% แต่ไม่สูงเท่าอัตราใหม่ที่รัฐกำหนด คือ 38,700 ปอนด์ต่อปี ซึ่งร้านเธอคง “ไม่มีปัญญา” จ่าย ในอัตรานี้

“ตอนนี้เราก็บอกคนที่เราชี้ตัวไว้แล้วว่าให้รีบเตรียมตัวให้พร้อม รีบสมัครมาก่อนกติกาใหม่มีผลบังคับ”

“แพงเกินไป”

สายพิณ มอร์ ผู้ก่อตั้ง และหุ้นส่วนเจ้าของ ธุรกิจร้านอาหาร Rosa’s Thai เครือข่ายร้านอาหารไทยใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร กล่าวถึงผลกระทบของกฎหมายใหม่ที่จะมีต่อแผนการขยายสาขาของเครือ Rosa’s Thai

“กระทบเรา 100% แพงเกินไป แพงมาก” คือปฏิกริยาแรกของสายพิณ เมื่อถามว่าการปรับฐานรายได้ต่อปีจาก 26,200 ปอนด์ เป็น 38,700 ปอนด์ จะกระทบต่อแผนงานขยายสาขาของ Rosa’s Thai อย่างไร

...

ปัจจุบัน Rosa’s Thai มี 40 สาขาทั่วเกาะอังกฤษและในยุโรป และมีแผนขยายอีก 8 สาขาในปีหน้า 

“ทุกวันนี้ หาเชฟในอังกฤษก็ยากอยู่แล้ว แย่งกันมากมาย ต่อไปจะยากยิ่งขึ้น ต้นทุนธุรกิจรวมก็จะสูงขึ้นไปอีก หลังจากค่าวัตถุดิบพุ่งขึ้นไปมากในช่วงที่ผ่านมา” สายพิณ กล่าว

สายพิณ มอร์ ผู้ก่อตั้ง และหุ้นส่วนเจ้าของ ธุรกิจร้านอาหาร Rosa’s Thai เครือข่ายร้านอาหารไทยใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร
สายพิณ มอร์ ผู้ก่อตั้ง และหุ้นส่วนเจ้าของ ธุรกิจร้านอาหาร Rosa’s Thai เครือข่ายร้านอาหารไทยใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

ช่วงก่อนเกิดวิกฤติการระบาดโควิดไม่นาน Rosa’s Thai ไปจัดการประกวดแข่งขันหาพ่อครัวแม่ครัวจากประเทศไทยมาทำงานจากผู้สมัครนับร้อย มีผู้ผ่านรอบคัดเลือกพิสูจน์ฝีมือการทำอาหารถึง 34 คน แต่มีเพียง 3 คน เท่านั้น ที่สอบผ่านความรู้ภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ได้มาทำงานในสหราชอาณาจักร ทำให้ Rosa’s Thai ต้องเบนเข็มไปรับพ่อครัวแม่ครัวจากเนปาลแทน ที่สอบผ่านภาษาอังกฤษตามเกณฑ์

สายพิณ หญิงไทยวัย 55 ปี จากเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เสริมว่า ปีที่แล้ว Rosa’s Thai นำคนเข้ามาเป็นพ่อครัวแม่ครัวรวม 28 คน เป็นคนเนปาลถึง 25 ที่เหลือเป็นคนไทย ซึ่งถือว่าน้อยมาก 

“น่าเสียดายโอกาสของคนไทยในการมาทำงานในอังกฤษ ที่เราไม่ได้ภาษาอังกฤษกัน” 

สายพิณ เสริมว่าก่อนกติกาใหม่ประกาศใช้ในเมษายนปีหน้า เครือ Rosa’s Thai จะระดมหาเชฟจากไทย โดยมุ่งไปที่คนหนุ่มสาวอายุไม่เกิน 30 ปี มีความรู้ภาษาอังกฤษดี สามารถสอบผ่าน ได้คะแนน International English Language Testing System หรือ IELTS อย่างน้อย 4.0 (สำหรับใช้เรียนมหาวิทยาลัยในอังกฤษทั่วไปอยู่ระหว่าง 6.0-7.0) มากกว่าคนอายุเกิน 40 ปี ที่แม้มีประสบการณ์การทำอาหารมาก แต่สอบไม่ผ่านภาษาอังกฤษ

ในส่วนของร้าน “นวดไทย” พิชญา บอกว่า เธอไม่ค่อยเจอปัญหาทักษะภาษาอังกฤษของพนักงานนวด ซึ่งส่วนใหญ่สื่อสารกับลูกค้าต่างชาติในสปาหรือโรงแรมอยู่แล้ว แต่เมื่อพนักงานต้องไปสอบ IELTS ก็มีความตื่นเต้น กังวลบ้าง เกรงว่าจะทำไม่ดี

ผลสำรวจของสถาบันสอนภาษาอังกฤษนานาชาติ Education First (EF) ประจำปี 2021 สำรวจทักษะความสามารถทางด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ หรือ English Proficiency Index ใน 112 ประเทศ ซึ่งไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก พบว่าความสามารถภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ที่อันดับ 100 ของโลก และอันดับ 8 ในชาติอาเซียน รองจาก เวียดนาม อินโดนีเซีย เมียนมา และ กัมพูชา

ประเด็นอังกฤษแก้กฎเกณฑ์นี่ ท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะลงมาดูหน่อยไหมครับ เรื่องนี้เกี่ยวกับนโยบาย “การทูตที่กินได้” (edible diplomacy) ที่ท่านได้ให้นโยบายแก่บรรดานักการทูตไทยทั่วโลกที่มาประชุมที่ กทม. เมื่อ 21 พ.ย. โดยตรงเลยนะครับ ตั้งแต่คนไทยเข้ามาทำงานอังกฤษได้น้อยลง ธุรกิจไทยในอังกฤษได้กำไรน้อยลง ส่งเงินกลับไทยได้น้อยลง แม้ไม่ถึง 1% ของประชากรไทยทั้งประเทศ แต่คนเหล่านี้เขาก็เลี้ยงดูครอบครัวในไทยให้มีกินมีใช้ โดยไม่ต้องรอเงินดิจิทัลนะครับ