• เวเนซุเอลาทำประชามติถามประชาชนเรื่องการผนวกรวมดินแดนพิพาทที่เรียกว่า เอสเซกิโบ จากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กายอานา และได้รับเสียงสนับสนุนกว่า 95%

  • เวเนซุเอลาพยายามอ้างความเป็นเจ้าของดินแดน เอสเซกิโบ มานานนับร้อยปีแล้ว แต่ไม่เคยทำถึงขั้นมีแผนผนวกรวมดินแดนเช่นนี้

  • ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สาเหตุที่เวเนซุเอลาเคลื่อนไหว อาจเป็นเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพื่อคะแนนนิยมทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า

พรรคสหสังคมนิยมแห่งเวเนซุเอลา (PSUV) เดินหน้าโปรโมตแผนการผนวกรวมดินแดน ‘เอสเซกิโบ’ ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กายอานา มานานตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้กายอานายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อให้เข้ามาช่วยแก้ไขข้อพิพาทที่ดำเนินมานานนับร้อยปีนี้

ICJ มีคำสั่งในวันที่ 1 ธ.ค. ให้เวเนซุเอลาหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่พิพาทระหว่างพวกเขากับกายอานา แต่ทว่า ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร กับผู้ติดตามของเขาไม่สนใจ เดินหน้าจัดประชามติเรื่องการผนวกรวมเอสเซกิโบ ในวันที่ 3 ธ.ค. และได้รับความเห็นชอบกว่า 95%

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เวเนซุเอลาพยายามอ้างความเป็นเจ้าของพื้นที่ เอสเซกิโบ มาตลอด แต่อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้จู่ๆ พวกเขาก็เดินหน้าผนวกรวมดินแดนพิพาทแห่งนี้? แล้วมันจะนำไปสู่สงครามระหว่างเวเนซุเอลากับกายอานาหรือไม่?

...

‘เอสเซกิโบ’ อยู่ตรงไหน?

เอสเซกิโบ เป็นดินแดนพิพาทที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเอสเซกิโบ ในประเทศกายอานา ครอบคลุมพื้นที่ 159,500 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของประเทศ แต่กลับมีประชากรเบาบางเพียงราว 125,000 คน จากประชากรของกายอานาทั้งหมด 800,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเอสเซกิโบมีสภาพเป็นภูเขาที่ยากแก่การเข้าถึง แต่ดินแดนแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วเรื่องความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ มีชาวกายอานามากมายเข้ามาทำเหมืองทองคำและเหมืองเพชรผิดกฎหมายที่นั่น

จุดเริ่มต้นการพิพาท

เวเนซุเอลาพยายามอ้างความเป็นเจ้าของเอสเซกิโบมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 19 แล้ว โดยย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1841 จักรวรรดิอังกฤษซื้อดินแดน บริติช เกียนา ซึ่งในปัจจุบันก็คือ กายอานา จากเนเธอร์แลนด์ แต่รัฐบาลเวเนซุเอลากล่าวหาอังกฤษว่า รุกล้ำดินแดนของพวกเขาซึ่งก็คือ ภูมิภาคเอสเซกิโบ

ความขัดแย้งนี้กลายเป็นปัญหาคาราคาซังเป็นเวลานานถึง 58 ปี ก่อนที่ใน ค.ศ. 1899 ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในกรุงปารีส จะตัดสินให้ภูมิภาคเอสเซกิโบอยู่ภายใต้การบริหารของอังกฤษ และกรรมสิทธิ์ก็ถูกส่งต่อให้แก่ กายอานา ซึ่งได้รับอิสรภาพในปี 1966 แน่นอนว่า เวเนซุเอลาไม่ยอมรับ และพยายามท้าทายคำตัดสิน

เวเนซุเอลากลับมาอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนเอสเซกิโบหนักข้อมากขึ้นในปี 2015 หลังบริษัท เอ็กซ์ซอน โมบิล ของสหรัฐฯ พบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่นอกชายฝั่งเอสเซกิโบ โดยจุดที่พบถูกเรียกว่า สตาโบรค บล็อก (Stabroek block) มีพื้นที่ 26,000 ตร.กม. ซึ่งอาณาเขตส่วนใหญ่อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของกายอานา แต่บางส่วนก็อยู่ในเขตของเวเนซุเอลา

ในเดือนมีนาคม 2018 กายอานายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ให้ช่วยยืนยันอธิปไตยเหนือดินแดนเอสเซกิโบของพวกเขาอีกครั้ง ตามที่ระบุไว้ในคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการ เมื่อปี 1899 ซึ่งเวเนซุเอลาแจ้งต่อ ICJ ในเดือนมินายนปีเดียวกันว่า พวกเขาไม่เชื่อว่า ICJ มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ICJ มีคำตัดสินในเดือนธันวาคม 2020 ประกาศว่าตนเองมีอำนาจในการตัดสินเกี่ยวกับข้อพิพาททางดินแดนนี้ได้ แต่การตัดสินว่าใครเป็นเจ้าของดินแดนเอสเซกิโบนั้น คาดว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายหลายปี

เวเนซุเอลาจัดประชามติ ผนวกเอสเซกิโบ

ความตึงเครียดปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลเวเนซุเอลาประกาศในเดือนตุลาคมว่า พวกเขาจะจัดการลงคะแนนเสียงประชามติเชิงหารือในวันที่ 3 ธ.ค. เพื่อถามชาวเวเนซุเอลาในเรื่องดินแดนเอสเซกิโบ ว่าประชาชนจะสนับสนุนการผนวกรวมดินแดนแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ, ให้สัญชาติแก่ผู้อยู่อาศัยในเอสเซกิโบ และปฏิเสธอำนาจของ ICJ หรือไม่

เรื่องนี้ทำให้กายอานายื่นคำร้องต่อ ICJ ทันที เพื่อขอให้ศาลมีมาตรการป้องกันไม่ให้เวเนซุเอลาจัดประชามติ และดำเนินการที่อาจเป็นการยึดการควบคุมดินแดนของพวกเขา ซึ่งในวันที่ 1 ธ.ค. ICJ ก็ออกมาเรียกร้องให้เวเนซุเอลาหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทที่บริหารโดยกายอานา รวมถึงเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ความขัดแย้งบานปลายกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม คำสั่งของ ICJ ไม่ได้ห้ามเวเนซุเอลาจัดการลงคะแนนเสียงประชามติ และการทำประชามติก็เกิดขึ้นตามกำหนด ซึ่งกว่า 95% ของชาวเวเนซุเอลาที่มาใช้สิทธิ์ เห็นชอบในทุกคำถามของรัฐบาล

แม้จะมีข้อครหาว่ามีผู้มาร่วมทำประชามติเพียงน้อยนิด แต่รัฐบาลมาดูโร เคลื่อนไหวตอบรับผลประชามติทันที โดยวันที่ 5 ธ.ค. เขาออกคำสั่งให้รัฐวิสาหกิจน้ำมันในประเทศ ออกใบอนุญาตขุดเจาะนำมันแก่บริษัทต่างๆ ในเวเนซุเอลา เพื่อสำรวจแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลและแร่ธาตุต่างๆ ในดินแดนเอสเซกิโบ รวมถึงเสนอร่างกฎหมายผนวกรวมดินแดนแห่งนี้ในรัฐสภาผ่านร่างด้วย

...

ทำไมเวเนซุเอลาเคลื่อนไหวตอนนี้?

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า สาเหตุที่เวเนซุเอลาเคลื่อนไหวเพื่อควบรวมดินแดน เอสเซกิโบ ในตอนนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากทรัพยากรน้ำมัน เพื่อนำมาช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำอย่างหนัก อันเป็นผลพวงจากวิกฤติอัตราน้ำมันตกต่ำเมื่อหลายปีก่อน บวกกับการคว่ำบาตรจากนานาชาติ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งทะลุเพดานกว่า 300% ครัวเรือนกว่าร้อยละ 90 อยู่ในฐานะยากจน

แต่สาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากเรื่องการเมือง โดย นายวิกเตอร์ มิฮาเรส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย เอ ลอส อันเดส ในกรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย ระบุว่า มาดูโรพยายามใช้ประโยชน์เรื่องการควบรวมเอสเซกิโบ ปลุกกระแสชาตินิยม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สถานะของตนเอง หลังจากรัฐบาลของเขาความนิยมตกต่ำสุดๆ

นายมิฮาเรส มองว่า เรื่องการค้นพบแหล่งน้ำมันที่เอสเซกิโบนั้นมีความสำคัญเป็นลำดับ 2 เท่านั้น เนื่องจากเอ็กซ์ซอน โมบิล ประกาศเรื่องการค้นพบมาตั้ง 7 ปีแล้ว ขณะที่รัฐบาลมาดูโรต้องเตรียมตัวรับศึกเลือกตั้งในปี 2567 และพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติอีก

ด้าน นายคริสเตียน ชวิค นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย กราซ ในออสเตรีย เห็นตรงกันกับมิฮาเรส แต่มองว่า การชิงแหล่งน้ำมันในเอสเซกิโบอาจไปกระตุ้นความรู้สึกทางการเมืองของเหล่า ‘ชาวิสตัส’ (Chavistas) ผู้ศรัทธาในอดีตประธานาธิบดีอูโก ชาเวซ ผู้ล่วงลับ ให้รุนแรงยิ่งขึ้นได้

“ชาวิสตัสมอง เอ็กซ์ซอน โมบิล ว่าเป็นตัวแทนของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกาเหนือ รัฐบาลปัจจุบันของกายอานาก็ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม จึงถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับสหรัฐฯ” นายชวิค กล่าว พร้อมเสริมว่า รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ มีแนวคิดทางการเมืองในทางเดียวกันกับเวเนซุเอลา ทำให้รัฐบาลการากัสลังเลที่จะเคลื่อนไหว

นายชวิค บอกด้วยว่า อีกเห็นผลที่อาจทำให้เวเนซุเอลาเดินหน้าควบรวมเอสเซกิโบในตอนนี้คือ สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันของโลก “การเบี่ยงเบนความสนใจของสหรัฐฯ ไปจากความขัดแย้งในยุโรปตะวันออก และในตะวันออกกลางอาจช่วยให้มหาอำนาจอย่าง รัสเซีย กับ จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเวเนซุเอลา มีโอกาสไขว่คว้าประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของตัวเองได้”

...

จะนำไปสู่สงครามหรือไม่?

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเวเนซุเอลาทำให้กายอานาสั่งกองทัพให้เตรียมความพร้อมในระดับสูง ขณะที่เวเนซุเอลาก็ส่งทหารจำนวนหนึ่งมาประจำการบริเวณชายแดนเอสเซกิโบ ทำให้นานาชาติต้องออกมาเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่าย หลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร

อำนาจทางทหารของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยฝ่ายกายอานามีทหารที่ยังประจำการอยู่ราว 4,150 นาย ส่วนเวเนซุเอลาอ้างว่า สามารถเคลื่อนกำลังทหารได้มากสุดถึง 235,000 นาย

อย่างไรก็ตาม นายชวิคกับมิฮาเรสเชื่อว่า เวเนซุเอลาไม่น่าจะใช้กำลังทหารในการผนวกรวมดินแดน เพราะจะทำให้แรงดึงดูดต่อนักลงทุนต่างชาติที่ต่ำเตี้ยอยู่แล้ว ลดลงไปอีก และยังมีสหราชอาณาจักรที่วางตัวเป็นผู้คุ้มครองกายอานา ซึ่งเป็นอดีตประเทศในอาณานิคม

ส่วนสหรัฐฯ ก็แสดงตัวเข้าข้างกายอานา โดยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศแผนส่งผู้แทนไปยังประเทศในอเมริกาใต้แห่งนี้ โดยที่รองประธานาธิบดีกายอานา ถึงขั้นเสนอแนะเรื่องความเป็นไปได้ที่จะตั้งฐานทัพในประเทศ

จริงอยู่ว่า การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ บริเวณชายแดนอาจเกิดขึ้นได้ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ความท้าทายทางภูมิศาสตร์ของเอสเซกิโบ ซึ่งพื้นที่ป่าฝนขนาดใหญ่ ทำให้เป็นเรื่องยากที่เวเนซุเอลาจะเข้าควบคุม “แม้แต่คนที่คุ้นเส้นทางเดินทางเป็นกลุ่มเล็กๆ ยังลำบาก ถ้าเป็นมาเป็นกองทัพก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง” นายชวิค กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่รัฐบาลกายอานาเอง ก็แทบไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นในกายอานา และรัฐบาลการากัสก็คงมีโอกาสไม่ต่างกัน





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : dw , securitycouncilreport , time

...