นับวันยิ่งตึงเครียด “การสู้รบอิสราเอล และกลุ่มติดอาวุธฮามาสชาวปาเลสไตน์” ที่ไม่มีทีท่าจะทุเลาลง แถม “กองทัพอิสราเอล” กลับเพิ่มการโจมตีทางอากาศตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างหนักขึ้น
หนำซ้ำยังขยายวงโจมตี “เครื่องบินอิสราเอลยิงระเบิดใส่มัสยิดอัล-อันซาร์” ตั้งในค่ายผู้อพยพเขตเวสต์แบงก์อ้างว่า “ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มฮามาสและกลุ่มอิสลามิก จิฮาด” กลายเป็นชนวนจุดเปราะบางส่งสัญญาณความขัดแย้งครั้งนี้ ส่อเค้าลุกลามเป็นสงครามระดับภูมิภาคตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลัง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ”เดินทางเยือนอิสราเอลที่มีท่าทีสนับสนุนโจมตีกลุ่มฮามาส ท่ามกลางความกังวลว่าสงครามจะยืดเยื้อกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.หอการค้าไทย และประธานกรรมการบริษัท บีบีจีไอ BBGI-PS ประเมินว่า
...
การสู้รบระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาสนั้นมีโอกาสขยายตัวเป็น “สงครามระดับภูมิภาคตะวันออกกลาง” ถ้ารัฐบาลซีเรียและอิหร่านเข้าร่วมสงครามครั้งนี้แล้ว ตอนนี้ “อิหร่าน” เคยประกาศไว้ว่าถ้าอิสราเอลโจมตีทางภาคพื้นดินในกาซาก่อความรุนแรง ก็พร้อมจะดำเนินการตอบโต้ทันทีเช่นกัน
ขณะที่ “พันธมิตรอิสราเอล” อย่างสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และประเทศยุโรปบางประเทศอาจจะกระโดดเข้าร่วมปฏิบัติการทางการทหารได้ด้วยเหมือนกัน สังเกตจาก “สหรัฐฯ” ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าประจำในทะเล เมดิเตอร์เรเนียนใกล้กาซา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในปฏิบัติการยับยั้งภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นต่ออิสราเอลแล้วด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ “โจ ไบเดน” ยังแถลงผ่านทางโทรทัศน์จะยื่นคำร้องของบประมาณเร่งด่วนต่อ “สภาคองเกรส” ช่วยเหลือแก่อิสราเอลด้วย ดังนั้นถ้าหากว่า “อิหร่าน” เข้ามาร่วมสงครามนี้มีโอกาสจะเกิดการสู้รบกันหนักขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น “สหรัฐฯ” อาจประกาศตอบโต้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแล้ว “อิหร่าน” ในฐานะผู้คุมเส้นทางการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย อาจตัดสินใจ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้” เพราะช่องแคบนี้มีประเทศอิรัก อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศในแอฟริกาเหนือ ใช้เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันทางเรือผ่านกันเป็นจำนวนมาก
กลายเป็นการพัฒนาไปสู่สงครามทางเศรษฐกิจ พลังงาน และการเงินการลงทุนถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กัน และถามว่ามีโอกาสขยายเป็นสงครามโลกหรือไม่ เรื่องนี้เป็นไปได้ยากเพราะแม้ว่าจีนมีความสัมพันธ์กับอิหร่าน แต่ก็มีจุดยืนเรื่องสันติภาพชัดเจนต้องการให้แสวงหาแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ
ปัญหามีอยู่ว่า “อิสราเอลเข้าบุกโจมตีทางภาคพื้นดินในกาซา” แม้จะสามารถทำลายแหล่งเป้าหมายของนักรบฮามาสได้สำเร็จนั้น “แต่การสู้รบจะไม่จบลงเท่านี้” เพราะอาจจะนำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่อาจจะเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทางด้านการก่อการร้ายเพิ่มขึ้นได้ด้วย
บานปลายขยายเป็น “ความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกกับกลุ่มอาหรับและกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง” นำไปสู่การสู้รบแบบกองโจรมีความรุนแรงจบยากกว่า “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่เปิดหน้าสู้ชิงดินแดนกัน
แน่นอนว่าเมื่อ “สงครามอิสราเอล-นักรบฮามาสยืดเยื้อ” ย่อมกระทบทางเศรษฐกิจโลกอัตราการขยายตัวปีหน้าอาจไม่ถึง 3% โดยเฉพาะถ้าอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้ชาติตะวันตก น้ำมันดิบตลาดโลกอาจจะพุ่ง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะช่องแคบนี้เป็นทางออกมหาสมุทรสำหรับประเทศส่งออกปิโตรเลียมในอ่าวเปอร์เซีย
ตามข้อมูลถัวเฉลี่ยแต่ละวันเรือบรรทุกน้ำมัน 16.5-17 ล้านบาร์เรล 15 ลำ ผ่านช่องแคบนี้ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ มีการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบ 40% ของการขนส่งทางเรือทั้งหมด และ 20% ของการขนส่งน้ำมันทั่วโลกนั้นจะทำให้อุปทานน้ำมันหายไปจากตลาดน้ำมันโลก 1 ใน 5 ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
...
ต่อมาก็จะส่งผลต่อ “การนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศไทย” เพราะเราเป็นประเทศนำเข้าพลังงาน และน้ำมันจากตะวันออกกลางสัดส่วนมากกว่า 50-52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย
เช่นนี้ “ประเทศไทย” ต้องมีสำรองน้ำมันหรือพลังงานเพิ่มกว่าระดับปกติ เพราะอาจมีปัญหาการขาดแคลนพลังงานจากการชะงักงันของการขนส่งได้ นอกจากนี้ยังต้องเตรียมรับมือกับราคาน้ำมันพุ่งสูงด้วย เนื่องจากกล ไกในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันระยะสั้นมีขีดจำกัด ทั้งภาษีสรรพสามิตจะลดลงกว่าระดับที่เป็นอยู่มากก็ไม่ได้
เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงฐานะทางการคลัง ส่วนกองทุนน้ำมันต้นเดือน ต.ค.2566 ก็ยังติดลบ 6.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปลายปีนี้ฐานะกองทุนน้ำมันมีโอกาสติดลบทะลุ 1 แสนล้านบาทด้วยซ้ำ
ถัดมา “การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย” กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงเหลือ 2.7% จากเดิมอยู่ที่ 3.4% และในปี 2567 ลงเหลือ 3.2% จากเดิมที่ 3.6%
ด้วยความไม่แน่นอนทาง “เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก” ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล -นักรบฮามาส กลายเป็นปัจจัยมีการปรับลดคาดการณ์จีดีพีอัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน คาดว่าอัตราเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปีนี้อยู่ที่ 1.5%
...
ในส่วน “ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศของไทย” กรณีที่มีการสู้รบจำกัดพื้นที่เฉพาะในกาซา “ปิดกั้นระบบการขนส่ง” ไม่น่าจะส่งผลต่อการส่งออกโดยรวมของไทยมากนัก เพราะด้วยอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่คู่ค้าสำคัญของไทย “มูลค่าการค้าน้อย” เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าต่างประเทศของไทย
เมื่อเป็นเช่นนี้ “สงครามอิสราเอล-นักรบฮามาส” น่าจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศในภาพรวมของไทย ด้วยมูลค่าการค้ารวมไทย-อิสราเอลเป็นคู่ค้าลำดับที่ 42 ของไทย มีมูลค่า 1,401.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 10.0) หรือ 49,182 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.2 ของการค้ารวมของไทย
แยกเป็น “การส่งออกของไทยไปอิสราเอล” ที่เป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 38 ของไทย มีมูลค่า 850.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 2.9) หรือ 29,728 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของการส่งออกรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์ ส่วนประกอบ 28.6% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 9.6%
อัญมณีเครื่องประดับ 9.6% ตู้เย็นตู้แช่แข็งส่วนประกอบ 4.1% ข้าว 3.8% เครื่องจักรกลส่วนประกอบ 3.0% ผลิตภัณฑ์ยาง 3.0% เม็ดพลาสติก 2.5% ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ 2.4% เครื่องปรับอากาศส่วนประกอบ 2.2%
ต่อมาคือ “การนำเข้าสินค้าจากอิสราเอล” เป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 45 มีมูลค่า 551.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 22.9) หรือ 19,455 ล้านบาท สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องเพชร พลอย และอัญมณี 26.1% ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ 15.5% เครื่องจักรไฟฟ้าส่วนประกอบ 10.3% เคมีภัณฑ์ 6.2%
ส่วน “มูลค่าการค้ารวมไทย-ปาเลสไตน์” เป็นคู่ค้าลำดับที่ 186 มีมูลค่า 5.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ขยายตัวร้อยละ 113.3) หรือ 134.4 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.001 ของการค้ารวมของไทย
...
ประเด็นว่า “สงครามขยายการสู้รบเป็นระดับภูมิภาค” ย่อมกระทบต่อการค้าโดยตรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง แล้วประเทศไทยเป็นคู่ค้าสำคัญในปี 2565 การค้าไทยและตะวันออกกลางคิดเป็นร้อยละ 7.6 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด มีการส่งออกร้อยละ 3.8 ขยายตัวร้อยละ 23.5 และนำเข้าร้อยละ 11.2 ขยายตัวร้อยละ 53.5
สุดท้ายนี้ “รัฐบาล” ต้องมีมาตรการช่วยเหลือครอบครัวแรงงานไทยในอิสราเอลที่เสียชีวิต และได้รับผลกระทบจากสงครามตามความเหมาะสม โดยเฉพาะสถานทูต สถานกงสุลไทย และทูตแรงงาน ต้องทำงานเชิงรุกในประเทศที่มีแรงงานไทยไปทำงานจำนวนมาก เช่น ตะวันออกกลาง ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรปบางประเทศ
ควรให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน สวัสดิการแรงงาน ไม่ให้ถูกหลอกลวงหรือเอาเปรียบ ทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์จากสงครามขยายวงระดับภูมิภาค จะส่งผลต่อราคาพลังงานผันผวนมากที่สุดรอบหลายปี
ฉะนั้น “ประเทศไทยและกลุ่มประเทศในอาเซียน” ควรแสดงจุดยืนความเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ผลักดันให้เกิดสันติภาพ การเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง” ดำเนินการทางการทูตโดยนำเรื่องมนุษยธรรม เศรษฐกิจการค้าการลงทุน และคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลักนำ...
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม