• คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประกาศมอบรางวัลประจำปี 2023 ให้แก่นาง นาร์เกส โมฮัมมาดี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอิหร่าน

  • ชื่อของโมฮัมมาดีกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในอิหร่านไปแล้ว หลังจากเธอถูกจับกุมนับครั้งไม่ถ้วน และถูกตัดสินจำคุกรวมมากกว่า 30 ปี

  • แต่โมฮัมมาดียังคงไม่หยุดต่อสู้ เธอเผยแพร่บทความต่างๆ ออกมาจากเรือนจำ และให้คำมั่นว่าเธอจะเคลื่อนไหวต่อไป แม้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในคุกก็ตาม

คณะกรรมการโนเบลประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัลสาขาสันติภาพประจำปี 2023 ออกมาแล้ว ได้แก่นาง นาร์เกส โฮฮัมมาดี นักเคลื่อนไหวหญิงชาวอิหร่าน ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและความเท่าเทียมมาตลอดชีวิต

โมฮัมมาดีในวัย 51 ปี กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในอิหร่าน หลังจากเธอถูกจับกุมนับครั้งไม่ถ้วนจากการทำกิจการทางการเมือง ถูกตัดสินลงโทษจำคุกรวมกันนานกว่า 30 ปี และตอนนี้เธอก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเมืองเอวิน พร้อมถูกห้ามพบหน้าสามีและลูกๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกคุมขัง แม้สุขภาพจะย่ำแย่ และไม่ได้พบหน้าบุคคลอันเป็นที่รัก โมฮัมมาดียังให้เดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมต่อไป พร้อมให้คำมั่นว่า เธอจะอยู่ในอิหร่านเพื่อทำการเคลื่อนไหวต่อไป แม้มันอาจจะหมายความว่า เธอต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือในชีวิตในคุกก็ตาม

นาร์เกส โมฮัมมาดี
นาร์เกส โมฮัมมาดี

...

นาร์เกส โมฮัมมาดี เป็นใคร?

โมฮัมมาดีเกิดเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2515 ที่เมืองซันจัน ประเทศอิหร่าน และเติบโตขึ้นในหลายเมืองทั้งกอร์เวห์, คาราจ และโอชนาวิเยห์ ก่อนจะเรียนจบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยนานาชาติ อิหม่าม โคเมนี และกลายมาเป็นวิศวกรมืออาชีพ

ช่วงเธอที่โมฮัมมาดีเรียนมหาวิทยาลัยนั้น เธอเขียนบทความสนับสนุนสิทธิสตรีหลายฉบับลงในหนังสือพิมพ์นักศึกษา และเคยถูกจับกุมถึง 2 ครั้งขณะเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มนักศึกษาผู้รู้แจ้ง (Enlightened Student Group) เธอยังเป็นสมาชิกกลุ่มนักปีนเขา จนกระทั่งเธอถูกห้ามเข้าร่วมเนื่องจากการทำกิจกรรมทางการเมืองของเธอ

จากนั้นโมฮัมมาดีผันตัวไปทำงานเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้าหลายฉบับ และตีพิมพ์เรียงความทางการเมืองของตัวเองชื่อว่า ‘การปฏิรูป, ยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์’ ก่อนที่ในปี 2546 เธอจะเข้าร่วมศูนย์ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน (DHRC) ของนาง ชีริน เอบาดี หญิงอิหร่านคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และได้เป็นรองประธานองค์กรในเวลาต่อมา

โมฮัมมาดีแต่งงานกับนาย ทากี ราห์มานี เพื่อนนักข่าวหัวปฏิรูปในปี 2542 แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ถูกจับกุม ทำให้นายราห์มานีตัดสินใจย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสในปี 2555 หลังรับโทษจำคุกนานเกือบ 14 ปี ส่วนโมฮัมมาดีเลือกที่จะอยู่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนในอิหร่านต่อ โดยทั้งสองมีลูกแฝดด้วยกัน 1 คู่

นาร์เกส โมฮัมมาดี
นาร์เกส โมฮัมมาดี

ต่อสู้เพื่อสิทธิจนโดนจับนับครั้งไม่ถ้วน

โมฮัมมาดีถูกทางการอิหร่านจับกุมครั้งแรกในปี 2541 โทษฐานวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และติดคุกนาน 1 ปี จากนั้นในปี 2553 เธอถูกนำตัวขึ้นศาลการปฏิวัติอิสลามฐานเป็นสมาชิกกลุ่ม DHRC โดยเธอประกันตัวออกมาสู้คดีด้วยวงเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ถูกจับและคุมขังในเรือนจำเมืองเอวินในไม่กี่วันต่อมา

อย่างไรก็ตาม ระหว่างถูกคุมขัง สุขภาพของโมฮัมมาดีย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยเกิดโรคคล้ายลมบ้าหมู ทำให้เธอสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อเป็นครั้งคราว ทำให้เธอได้รับการปล่อยตัวหลังจากอยู่ในคุกราว 1 เดือน เพื่อเข้ารับการรักษาทางการแพทย์

แต่ในเดือนกรกฎาคม 2554 โมฮัมมาดีก็ถูกดำเนินคดีอีกครั้ง ซึ่งศาลตัดสินว่าเธอมีความผิดจริงในข้อหา กระทบการต่อต้านความมั่นคงของชาติ, เป็นสมาชิกกลุ่ม DHRC และ โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาล และในเดือนกันยายนปีเดียวกัน เธอก็ถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 11 ปี โดยเธอพยายามอุทธรณ์จนได้รับการลดโทษเหลือ 6 ปีในเดือนมีนาคม 2555 และเริ่มรับโทษจำคุกในวันที่ 26 เม.ย.ปีเดียวกัน

การจำคุกนางโมฮัมมาดีทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักจากนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ จนในเดือนกรกฎาคม 2555 อิหร่านต้องยอมปล่อยตัวเธอออกจากเรือนจำ

2 ปีหลังจากนั้น ในเดือนตุลาคม 2557 โมฮัมมาดีกล่าวปราศรัยที่สุสานของนาย ซัตตาร์ เบเฮชติ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่เสนอแผนส่งเสริมศีลธรรมและป้องกันความชั่วร้าย แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรเลยตอนที่นายเบเฮชติถูกตำรวจไซเบอร์ทรมานจนตายเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งวิดีโอการปราศรัยของเธอกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว และทำให้เธอถูกเรียกตัวขึ้นศาลเรือนจำเอวินอีกครั้ง

วันที่ 5 พ.ค. 2558 ถูกจับกุมอีกครั้งด้วยข้อหาใหม่ ซึ่งศาลปฏิวัติฯ พิพากษาลงโทษจำคุกเธอเป็นเวลา 10 ปีจากข้อหาก่อตั้งองค์กรผิดกฎหมายที่เรียกว่า ‘Legam’, อีก 5 ปีสำหรับข้อหารวมตัวและสมคบกันต่อต้านความมั่นคงของชาติ และอีก 1 ปีจากการที่เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศระหว่างพบผู้แทนฝ่ายนโยบายความมั่นคงของ EU เมื่อมีนาคม 2557

...

ทากี ราห์มานี สามีของโมฮัมมาดี โชว์ูปภาพเก่าที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกัน
ทากี ราห์มานี สามีของโมฮัมมาดี โชว์ูปภาพเก่าที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกัน



หลังถูกจำคุกได้ 3 ปีกว่า โมฮัมมาดีก็เริ่มอดอาหารร่วมกับผู้ต้องขังชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่าน นาซานิน ซาการี-แรตคริฟฟ์ เมื่อมกราคม 2562 เพื่อประท้วงเรือนจำเอวินที่ปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ จนในเดือนกรกฎาคม 2563 เธอเริ่มแสดงอาการป่วยของโรคโควิด-19 ก่อนจะดีขึ้นในเดือนสิงหาคม และได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 8 ต.ค. 2563

แม้จะเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น โมฮัมมาดียังคงทำกิจกรรมการต่อสู้ของเธออย่างไม่ลดละ ในเดือนมีนาคม 2564 เธอเขียนบทความเรื่องโทษประหารในอิหร่านส่งถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนอิหร่าน (IHR) ก่อนที่ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน เธอจะถูกศาลกรุงเตหะรานตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง เฆี่ยนอีก 80 ครั้ง และถูกปรับอีก 2 กระทงโทษฐาน โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านระบบ

4 เดือนต่อมา เธอได้รับหมายเรียกให้ไปรับโทษจำคุก แต่เธอไม่ตอบสนองเพราะมองว่า คำตัดสินของศาลไม่ยุติธรรม แต่จนแล้วจนรอด โมฮัมมาดีก็ถูกจับกุมในวันที่ 16 พ.ย.ปีเดียวกันนั้นที่เมืองคาราจ ระหว่างร่วมพิธีรำลึกถึงนาย เอบราฮิม เคตาบดาร์ ผู้ถูกกองกำลังความมั่นคงอิหร่านสังหารตอนเกิดการประท้วงใหญ่ช่วงปลายปี 2562

ในเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการประท้วงใหญ่จากการเสียชีวิตของ น.ส.มาห์ซา อามินี ผู้ถูกตำรวจศีลธรรมอิหร่านทำร้ายระหว่างควบคุมตัวโทษฐานไม่สวมฮิญาบ โมฮัมมาดียังฝากรายงานของเธอออกมาจากในคุกให้สื่อเผยแพร่ เป็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศและทารุณกรรมทางการต่อผู้หญิงที่ถูกคุมขัง

เดือนต่อมาเธอเผยแพร่รายงานอีกฉบับ เรื่องสถานการณ์ของผู้หญิงในเรือนจำเอวิน เผยรายละเอียดการสอบสวนและการทรมานที่นักโทษหญิง 58 คนต้องเผชิญ โดยที่ 57 คนในจำนวนนี้ถูกขังเดียวรวมกันถึง 8,350 วัน ขณะที่ 56 คนถูกลงโทษจำคุกรวมกันถึง 3,300 เดือน

...

คว้าโนเบลสันติภาพ 2023

การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีของโมฮัมมาดีอยู่ในสายตาของคนทั่วโลก ทำให้เธอได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย เช่น รางวัล เพอร์ แองเกอร์ ไพรซ์ (Per Anger Prize) จากรัฐบาลสวีเดน หรือรางวัลเสรีภาพด้านการเขียนจากองค์กร เพน อเมริกา (PEN America) และล่าสุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2023

คณะกรรมการโนเบลระบุในพิธีประกาศรางวัลเมื่อ 6 ต.ค. 2566 ว่า ขอมอบรางวัลนี้ให้เพื่อเป็นเกียรติแก่ การต่อสู้เพื่อต่อต้านการกดขี่สตรีในอิหร่านของเธอ และการต่อสู้เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของทุกคน

ทางคณะกรรมการยอมรับว่า มีคนหลายแสนคนที่เมื่อปีก่อน ร่วมแสดงพลังต่อต้านนโยบายเลือกปฏิบัติและกดขี่ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ผู้หญิงของรัฐบาลอิหร่าน แต่การต่อสู้ของโมฮัมมาดีมาพร้อมกับสิ่งที่ต้องเสียไปมหาศาล เธอถูกจับกุมรวมทั้งหมด 13 รอบ ถูกตัดสินความผิด 5 ครั้ง และถูกพิพากษาให้จำคุกรวม 31 ปี และเฆี่ยนอีก 154 ครั้ง

“ขณะที่เราพูดกันอยู่ในตอนนี้ น.ส.โมฮัมมาดีก็ยังอยู่ในเรือนจำ” เบริต รีส-แอนเดอร์เซน ประธานคณะกรรมการโนเบลสาขาสันติภาพกล่าว

...

เบริต รีส-แอนเดอร์เซน ประธานคณะกรรมการโนเบลสาขาสันติภาพ
เบริต รีส-แอนเดอร์เซน ประธานคณะกรรมการโนเบลสาขาสันติภาพ

ให้คำมั่น จะสู้เพื่อความเท่าเทียมต่อไป

ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า น.ส.โมฮัมมาดีรู้ว่าตนเองได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหรือไม่ เนื่องจากเรือนจำเอวินไม่อนุญาตให้เธอใช้โทรศัพท์ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เธอฝากข้อความมาถึงสำนักข่าวต่างๆ รวมถึง ซีเอ็นเอ็น ผ่านทางครอบครัว เพื่อให้เผยแพร่ในกรณีที่เธอได้รับรางวัล

ข้อความของโมฮัมมาดีระบุว่า เธอจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย, เสรีภาพ และความเท่าเทียมต่อไป และเธอจะอยู่ในอิหร่านเพื่อทำการเคลื่อนไหวของเธอต่อไป แม้ว่าเธอต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือในชีวิตในคุกก็ตาม

“ฉันจะยืนหยัดเคียงข้างเหล่ามารดาผู้กล้าหาญในอิหร่าน ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติอย่างไร้ความปรานี, การข่มเหง และการกดขี่ทางเพศของรัฐบาลศาสนาผู้ปกครองอย่างกดขี่ต่อไป จนกว่าเหล่าสตรีจะได้รับการปลดปล่อย”

ด้านนายทากี ราห์มานี สามีของโมฮัมมาดี บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า รางวัลนี้เป็นของชาวอิหร่านทุกคน “นี่ไม่เพียงเป็นรางวัลสำหรับนาร์เกสเท่านั้น แต่ยังเป็นของชาวอิหร่านทุกคน การเคลื่อนไหวที่หญิงและชายชาวอิหร่านออกมาร่วมเดินบนท้องถนน นานหลายเดือน ต่อสู้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาจะดิ้นรนเพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางสังคมต่อไป”





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : aljazeerabbccnn