โจ ไบเดน กลับลำ อนุมัติสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกเพิ่มเติมแล้ว หลังจากคัดค้านมาตลอด ท่ามกลางปัญหาผู้อพยพล้นทะลัก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ต.ค. 2566 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน อนุมัติสร้างกำแพงกั้นชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโกเพิ่ม โดยจะสร้างเป็นระยะทาง 32 กิโลเมตร ที่เขตสตาร์ เคาน์ตี ตอนใต้ของรัฐเทกซัส ซึ่งมีรายงานจำนวนผู้อพยพเข้าประเทศเพิ่มสูง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนับเป็นการกลับลำครั้งใหญ่ของนายไบเดน เนื่องจากการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกเป็นนโยบายเอกของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนก่อน ซึ่งถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายเดโมแครต และเมื่อปี 2563 นายไบเดนให้คำมั่นระหว่างการหาเสียงว่า เขาจะไม่สร้างกำแพงเพิ่มอีกแม้แต่ฟุตเดียว

นอกจากนั้น หลังจากไบเดนชนะเลือกตั้ง รัฐบาลของเขาก็ออกประกาศแทบจะทันทีว่า การสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเชิงนโยบายอย่างจริงจัง

แต่ในวันพฤหัสบดี นายไบเดนกล่าวว่า เขาไม่สามารถหยุดการสร้างกำแพงกั้นชายแดนครั้งนี้ได้ เพราะมีการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว และเมื่อถูกนักข่าวถามว่า เขาเชื่อว่ากำแพงนี้จะป้องกันผู้อพยพได้หรือไม่ ไบเดนก็ตอบว่า “ไม่”

สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดน (CBP) ก็ออกแถลงการณ์ปกป้องการสร้างกำแพงกั้นชายแดนในลักษณะเดียวกัน “สภาคองเกรสจัดสรรงบสำหรับสร้างกำแพงกั้นชายแดนที่ ริโอ แกรนเด วัลเลย์ ไว้แล้ว ในปีงบประมาณ 2562 และกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ (DHS) จำเป็นต้องใช้งบประมาณตามจุดประสงค์ที่จัดสรรไว้”

อย่างไรก็ตาม คำพูดของไบเดนและแถลงการณ์ของ CBP กลับตรงข้ามกับประกาศเรื่องโครงการสร้างกำแพงดังกล่าวของนาย อเลฮานโดร มยอร์กาส รัฐมนตรี DHS ซึ่งระบุว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องสร้างกำแพงและถนนที่ชายแดนสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายในพื้นที่โครงการ

...

ด้านนาย อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก กล่าวในงานแถลงข่าวประจำวัน ตำหนิการตัดสินใจของสหรัฐฯ ว่าการสร้างกำแพงตรงข้ามกับสิ่งที่ประธานาธิบดีไบเดนสนับสนุน แต่เขาก็เข้าใจว่ามีแรงกดดันรุนแรงจากกลุ่มนักการเมืองฝ่ายขวาจัดในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของผู้อพยพข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมายกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของนายไบเดน โดยในปีนี้ มีผู้อพยพผ่านทาง ริโอ แกรนเด วัลเลย์ มากกว่า 245,000 คนแล้ว ทำให้หลายเมืองในสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระของผู้อพยพที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc