• รัฐบาลโมร็อกโกเผชิญเสียงวิจารณ์มากมาย เพราะเหตุใดต้องจำกัดความช่วยเหลือจากนานาชาติ จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปี
  • การปฏิเสธความช่วยเหลือทำให้การค้นหาผู้ประสบภัยล่าช้า โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,900 ราย 
  • นักวิชาการชี้ ข้อพิพาทเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตก คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลโมร็อกโกที่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างชาติ

ยามที่ประเทศใดเกิดภัยพิบัติ สิ่งที่มักตามมา คือ การเสนอความช่วยเหลือจากนานาชาติ ในนามของ “การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” (Humanitarian Aid) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความช่วยเหลือหลายครั้งมักมาพร้อมกับวาระแฝง หรือ Hidden Agenda โดยเฉพาะจุดมุ่งหมายทางการเมือง

ประเด็นดังกล่าวถูกพูดถึงอีกครั้งหลังเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 60 ปีในประเทศโมร็อกโก ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 2,900 ราย และทำให้คนอีกนับแสนรายต้องไร้ที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ดี หนึ่งในประเด็นที่รัฐบาลโมร็อกโกถูกวิพากษ์วิจารณ์ คือ การจำกัดความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ทำให้ปฏิบัติการกู้ภัยล่าช้า และเกิดความกังวลว่ายอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งขึ้นต่อ เนื่องจากผู้คนไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันที

...

ปฏิเสธความช่วยเหลือจากต่างชาติส่วนใหญ่

เบื้องต้นมีรายงานว่า อย่างน้อย 60 ประเทศได้เสนอส่งความช่วยเหลือมายังโมร็อกโก เช่น สหรัฐฯ อิสราเอล สหประชาชาติ เยอรมนี แอลจีเรีย และฝรั่งเศส แต่รัฐบาลโมร็อกโกเลือกขอรับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากแค่ 4 ชาติ คือ สเปน อังกฤษ กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี

ทางการโมร็อกโกแถลงถึงเหตุผลที่จำกัดความช่วยเหลือจากนานาชาติว่า การที่มีหลายองค์กร และหลายประเทศเข้ามา อาจทำให้เกิดความวุ่นวาย และขาดการประสานงาน จะส่งผลเสียต่อปฏิบัติการกู้ภัย อีกทั้งประเทศโมร็อกโกก็ยังมีปัญหาด้านโลจิสติกส์ 

การแถลงดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากคนในและนอกประเทศ นายมาติ มูนจิบ นักเคลื่อนไหวชาวโมร็อกโก มองว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไม่ถูกต้องนัก เพราะประเทศต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่ใช่เวลาที่รัฐบาลจะมัวแต่คำนึงถึงความภาคภูมิใจของชาติ และอำนาจอธิปไตย  

จึงไม่น่าแปลกใจนักที่นักวิชาการหลายคนเลือกอธิบายการตัดสินใจของโมร็อกโกว่า เป็นผลพวงจากประเด็นด้านการเมืองระหว่างประเทศ และ ข้อพิพาทเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตก ที่โมร็อกโกประกาศควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตั้งแต่ปี 2522 

ในปัจจุบัน ชาติที่ให้การรับรองว่าดินแดนซาฮาราตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโก ได้แก่ สเปน สหรัฐฯ และอิสราเอล โดยอังกฤษเป็นชาติล่าสุดที่ส่งสัญญาณว่าเห็นด้วยกับจุดยืนของโมร็อกโก

ขณะที่ฝรั่งเศสปฏิเสธการรับรอง อาจพออธิบายได้ว่าเหตุใดโมร็อกโกจึงเลือกรับความช่วยเหลือจากอังกฤษและสเปน และปฏิเสธความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส อดีตเจ้าอาณานิคมเก่าที่เคยปกครองดินแดนตอนเหนือของทวีปแอฟริกานานกว่า 40 ปี

ข้อพิพาทเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตก

ซาฮาราตะวันตกเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ติดกับประเทศโมร็อกโก มอริเตเนีย และแอลจีเรีย โดยข้อพิพาทเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตก (Western Sahara) เกิดขึ้นนับตั้งแต่เจ้าอาณานิคมเก่าอย่างสเปน ถอนตัวออกจากดินแดนนี้ไปในปี 2518

หลังจากที่สเปนออกไปจากดินแดนนี้ไป 1 ปี โมร็อกโกก็ประกาศผนวกซาฮาราตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของตน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถูกต่อต้านจากกลุ่มสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาฮารา (SADR) และแนวร่วมโปลิสซารีโอ (The Polisario Fornt) หรือการรวมตัวกันของชนพื้นเมืองซาห์ราวี ต่อสู้เพื่อเอกราชเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตก ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มายาวนาน

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ยาวนาน จนกระทั่งปี 2534 UN เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลงหยุดยิง พร้อมเรียกร้องให้มีการทำประชามติถามความต้องการของประชาชนที่อาศัยอยู่เหนือดินแดนซาฮาราตะวันตกว่าต้องการเอกราช หรือเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโก แต่จนถึงปัจจุบัน ประชามติดังกล่าวก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น

ความตึงเครียดเหนือซาฮาราตะวันตกปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2563 หลังโมร็อกโกส่งทหารเข้าไปปราบปรามการประท้วงของชาวซาห์ราวี ทำให้ SADR ประกาศให้ข้อตกลงหยุดยิงเป็นโมฆะ 

ต่อมาในปี 2023 อิสราเอลรับรองว่าซาฮาราตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของโมร็อกโกอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้โมร็อกโกเรียกร้องให้ฝรั่งเศสรับรองเช่นกัน เพราะมองว่าท่าทีของฝรั่งเศสจะมีผลต่อสหภาพยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ต้องการผสานความสัมพันธ์กับแอลจีเรีย คู่ขัดแย้งหลักของโมร็อกโก 

...

เพียง 4 ชาติที่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการให้ส่งทีมกู้ภัยเข้าช่วยเหลือ

จนถึงตอนนี้ (14 ก.ย.) ก็ยังมีเพียง 4 ชาติเท่านั้น (สเปน อังกฤษ กาตาร์ และยูเออี) ที่โมร็อกโกยอมการช่วยเหลืออย่างเป็นทางการให้ส่งทีมกู้ภัยและทีมค้นหาเข้ามาในประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว และปฏิบัติภารกิจร่วมกับกองทัพและเจ้าหน้าที่ของโมร็อกโก

ในขณะเดียวกัน ทางการโมร็อกโกก็ยังไม่ได้อนุมัติให้ทีมช่วยเหลือจากอิตาลี เบลเยี่ยม เยอรมนี และฝรั่งเศส เข้ามาร่วมภารกิจ 

ด้าน UN และสหรัฐฯ ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินเข้ามาช่วยประเมินความเสียหาย 

ภารกิจช่วยเหลือและค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย เนื่องจากทีมกู้ภัยประสบปัญหาในการเดินทางไปยังหมู่ที่ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือกลางหุบเขา เพราะตอนนี้ถนนหลายสายถูกตัดขาด ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวโมร็อกโกครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี

หนึ่งในทีมค้นหาของสเปน กล่าวว่า ความยากลำบากของภารกิจนี้ คือ บ้านเรือนของโมร็อกโกในบริเวณพื้นที่แผ่นดินไหว สร้างจากหิน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวจึงพังลงมาทั้งหมด ต่างจากบ้านที่สร้างจากเหล็ก จะมีความแข็งแรงกว่า และยิ่งความช่วยเหลือล่าช้า โอกาสพบผู้รอดชีวิตก็จะน้อยลงตามไปด้วย

จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงมหาดไทยโมร็อกโก ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ทางภาคตะวันตกของประเทศ อยู่ที่อย่างน้อย 2,900 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกมากกว่า 5,500 ราย 

เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.11 น. ของวันที่ 8 ก.ย. 2566 ตามเวลาท้องถิ่น โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่บริเวณเทือกเขาไฮแอตลาส ไม่ไกลจากเมืองมาร์ราเกช เมืองมรดกโลกของยูเนสโก

...

แผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นการเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี ของประเทศโมร็อกโก

ผู้เขียน : สุวินี โชติวินิจกุล

ที่มา : Atalayar , BBC 1 2 , The Christian Science Monitor , DW