หน่วยงานโบราณวัตถุของอิสราเอลประกาศการค้นพบดาบโรมันซ่อนลึกอยู่ในถ้ำใกล้ทะเลเดดซี ที่ได้ชื่อว่ามีความเค็มที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างทางทิศตะวันออกของจอร์แดนและอิสราเอล เดิมทีมนักวิจัยเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น ด้วยหวังว่าจะถ่ายภาพถ้อยความภาษาฮีบรูโบราณ ที่จารึกไว้บนแนวหินในถ้ำ ทว่านักวิจัยกลับพบรอยแยกที่เข้าถึงได้ยากบนหน้าผาที่มองเห็นทะเล จนพบว่าข้างในมีดาบที่ระบุว่ามีอายุ 1,900 ปีดาบทั้งหมดมี 4 เล่ม สภาพของดาบชี้ให้เห็นว่ามันทนทานในสภาพแวดล้อมที่แห้งและแห้งแล้ง ในจำนวนนี้มีดาบ 3 เล่มถูกระบุว่าเป็นดาบยาว “สปาร์ธา” (Spatha) ของโรมัน ความยาว 60-64 เซนติเมตร ส่วนอีก 1 เล่มระบุว่าเป็นดาบปลายด้ามมีด ความยาว 45 เซนติเมตร ดาบทั้ง 4 เล่มยังคงอยู่ในฝักไม้ ขณะที่ด้ามจับทำจากไม้หรือโลหะ นอกจากนี้ยังพบแถบหนัง เศษไม้ และโลหะที่เป็นของอาวุธ อยู่ในรอยแยก ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าดาบโรมันเหล่านี้ถูกซ่อนไว้โดยกลุ่มปฏิวัติชาวยูเดีย (Judean rebels) ที่ยึดเอามาจากศัตรูซึ่งเป็นทหารโรมัน เพื่อจะนำกลับมาใช้ใหม่ คาดว่าน่าจะนำมาซ่อนไว้ในช่วงการปฏิวัติ บาร์ กอคบา (Bar Kokhba) การปฏิวัตินี้เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.132-135 (พ.ศ.675-678) ในแคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ปัจจุบันคืออิสราเอล แคว้นยูเดียเคยเป็นพันธมิตรของโรมัน แต่ใน ค.ศ.132 ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น เนื่องจากความไม่พอใจต่อผู้ปกครองแคว้นยูเดียของโรมันและต่อจักรพรรดิเฮเดรียน ที่ได้กำหนดข้อควบคุมที่เข้มงวดต่อชาวยิวในการปฏิบัติตามศาสนาและประเพณีของตน อย่างไรก็ตาม บาร์ กอคบา ผู้นำชาวยิวเป็นผู้นำปฏิวัติก็ถูกสังหารโดยกองทัพโรมันและความขัดแย้งก็ยุติลงในปี ค.ศ.135.