• โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ ผู้มาทำธุรกิจในอังกฤษ และเป็นอดีตเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่างแฮร์รอดส์ เสียชีวิตแล้วในวัย 94 ปี

  • อัล ฟาเยด ทำธุรกิจมากมายในอังกฤษ และพยายามตีสนิทกับสมาชิกราชวงศ์ ถึงขั้นที่ โดดี ลูกชายของเขาได้เป็นพระสหายสนิทกับเจ้าหญิงไดอานา จนเกิดข่าวลือเรื่องความรักของคนทั้งสอง

  • แต่อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตโดดีกับเจ้าหญิงไดอานาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อัล ฟาเยดพยายามเสนอทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ และกล่าวหาราชวงศ์อังกฤษว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด ชายผู้ไต่เต้าจากพ่อค้าเล็กๆ บนถนนในนครอเล็กซานเดรียของอียิปต์ สู่เจ้าของหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่สุดในโลกอย่าง แฮร์รอดส์ ถึงแก่กรรมแล้วเมื่อวันพุธที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา ปิดฉากชีวิตนักธุรกิจฝีปากกล้าขณะมีอายุได้ 94 ปี

เป็นที่รู้กันดีว่า อัล ฟาเยด พยายามมานานหลายสิบปีเพื่อขอสัญชาติอังกฤษ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ เขาจึงออกมากล่าวหาเรื่องการประพฤติตัวไม่เหมาะสมของนักการเมือง และทำให้รัฐมนตรีฝ่ายอนุรักษนิยมต้องกระเด็นตกเก้าอี้ถึง 3 คน

อย่างไรก็ตาม อัล ฟาเยด กลับเป็นที่รู้จักมากกว่าจากความพยายามของเขาในการหาคำตอบของปริศนาต่างๆ ในอุบัติเหตุรถยนต์ที่คร่าชีวิต โดดี ลูกชายของเขาพร้อมกับเจ้าหญิงไดอานา เมื่อปี 1997 โดยเขายืนยันมาตลอดว่า นี่เป็นการฆาตกรรม แม้เจ้าหน้าที่สืบสวนของอังกฤษ และฝรั่งเศส จะปฏิเสธก็ตาม

...

เริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ

อัล ฟาเยด เกิดที่นครอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ในชื่อ โมฮาเหม็ด ฟาเยด แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาเกิดวันไหนตามข้อมูลใน Who's Who ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลผู้มีอิทธิพลจากทั่วโลก เขาระบุว่า ตนเองเกิดในเดือนมกราคม 1933 แต่ตอนเขาเข้าร่วมการไต่สวนของกระทรวงพาณิชย์ มีการบันทึกอย่างเป็นทางการว่าเขาเกิดวันที่ 27 ม.ค. 1929

โมฮาเหม็ด ฟาเยด เริ่มธุรกิจของเขาจากการเป็นคนขายน้ำอัดลมข้างถนน แต่ตกถังข้าวสารเนื่องจากได้พบและแต่งงานกับ ซามิรา น้องสาวของ อัดนาน คาช็อกกี เศรษฐีพ่อค้าอาวุธชาวซาอุดีอาระเบียในปี 1954 แม้ทั้งคู่จะหย่ากันภายในเวลาเพียง 2 ปี แต่งานที่ได้จากพี่เขยทำให้เขาได้เข้าสู่แวดวงผู้มีอิทธิพลในอ่าวเปอร์เซีย และในอังกฤษ

พอถึงช่วงทศวรรษที่ 1960 ชายชาวอียิปต์ผู้นี้ก็กลายเป็นผู้มั่งคั่ง ทำธุรกิจกับบุคคลสำคัญมากมายตั้งแต่ ชีคอาหรับไปจนถึง ปาปา ดอค ดูวาลิเยร์ จอมเผด็จการแห่งเฮติ เขายังก่อตั้งบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือเป็นของตัวเองในอียิปต์ และกลายมาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของสุลต่านแห่งบรูไนด้วย

โมฮาเหม็ด ฟาเยด ตัดสินใจย้ายไปอยู่สหราชอาณาจักรในปี 1974 และเพิ่มคำว่า ‘อัล’ เข้าไปในชื่อของตัวเอง จนนิตยสาร Private Eye ซึ่งชอบรายงานข่าวเสียดสี ตั้งฉายาให้ว่า ‘ฟาโรห์จอมปลอม’

จากนั้นในปี 1979 เขากับ อาลี น้องชาย ก็ซื้อโรงแรม ริตซ์ โฮเทล ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส และ 6 ปีต่อมา เขาก็เอาชนะกลุ่มลอนโร (Lonrho) กลุ่มธุรกิจใหญ่อีกกลุ่มในลอนดอน ในการต่อสู้แย่งซื้อห้างสรรพสินค้าหรูอย่าง แฮร์รอดส์

สุดผิดหวัง ขอสัญชาติไม่สำเร็จ

การแย่งซื้อแฮร์รอดส์ทำให้ อัล ฟาเยด มีปัญหากับ ไทนี โรว์แลนด์ ประธานของกลุ่มลอนโรในขณะนั้น โดยในปี 1990 กระทรวงพาณิชย์ และอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร เผยแพร่รายงานสรุปการสืบสวนระบุว่า พี่น้องฟาเยดโกหกเรื่องภูมิหลัง และทรัพย์สินของพวกเขา

ข้อพิพาทกับโรว์แลนด์ยุติลงในปี 1993 ในการไกล่เกลี่ยที่โรงอาหารของห้างฯ แฮร์รอดส์ แต่เชื่อกันว่า ปัญหานี้เป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้นายอัล ฟาเยด ถูกปฏิเสธการขอสัญชาติ ซึ่งเจ้าตัวมองว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างมาก

“ทำไมพวกเขาไม่ออกหนังสือเดินทางให้ผม” นายอัล ฟาเยด ออกมาโวยในเวลานั้น “ผมเป็นเจ้าของแฮร์รอดส์ และจ้างคนหลายพันคนในประเทศนี้”

ความผิดหวังเรื่องการขอสัญชาติทำให้ อัล ฟาเยด กล่าวหาผ่านสื่อว่า เขาจ่ายเงินให้รัฐมนตรีพรรคอนุรักษนิยม 2 คนคือ นีล แฮมิลตัน และ ทิม สมิธ เพื่อขอถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขา ที่สภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้ทั้งคู่ลาออกจากรัฐบาล แม้แฮมิลตันจะปฏิเสธอย่างหนักแน่น แต่สุดท้ายก็แพ้ในการฟ้องอัล ฟาเยด ข้อหาหมิ่นประมาท

ขณะเดียวกัน นายโจนาธาน เอกเกน ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีประจำคณะรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่งหลังจาก อัล ฟาเยด เปิดเผยว่า นายเอกเกนเข้าพักฟรีที่โรงแรมริตซ์ ในกรุงปารีส ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มพ่อค้าอาวุธซาอุดีอาระเบียพักอยู่ ก่อนที่นายเอกเกนจะต้องเข้าคุกจากการโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ในศาล สร้างความเสื่อมเสียอย่างหนักแก่พรรคอนุรักษนิยม

ภาพเจ้าหญิงไดอานา กับโดดี อัล ฟาเยด ในคืนเกิดอุบัติเหตุอันน่าเศร้า
ภาพเจ้าหญิงไดอานา กับโดดี อัล ฟาเยด ในคืนเกิดอุบัติเหตุอันน่าเศร้า

...

สูญเสียลูกชายพร้อมเจ้าหญิงไดอานา

หลังย้ายมาอยู่สหราชอาณาจักร อัล ฟาเยด ทำธุรกิจมากมาย รวมถึงเป็นเจ้าของสโมสร ฟูแลม (จนถึงปี 2013) และอสังหาริมทรัพย์พื้นที่กว่า 50,000 เอเคอร์ ในสกอตแลนด์ ซึ่งเขาพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว

อัล ฟาเยด ยังใช้เวลาหลายปีในการสร้างสัมพันธ์กับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษ ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ให้อีเวนต์หลายงาน เช่น วินด์เซอร์ ฮอร์ส โชว์ และว่ากันว่า เขาได้พบชาร์ลส์ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเจ้าฟ้าชาย กับเจ้าหญิงไดอานา พระชายา ในการแข่งขันโปโลงานหนึ่งในช่วงปี 1980 และด้วยคอนเนกชันนี้ เข้าได้แนะนำ โดดี ลูกชายของเขาให้ไดอานารู้จักในเวลาต่อมา

หลังจากไดอานาหย่าขาดจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ในปี 1992 ก็มีคนตาดีถ่ายภาพพระองค์กับโดดีได้ที่เมืองเซนต์ โทรเปซ ในปี 1997 ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับทั้งคู่แพร่กระจายไปทั่ว จนใครๆ ก็คิดว่า อัล ฟาเยด อาจได้เข้าใกล้ หรือถึงขั้นได้รับการยอมรับจากราชวงศ์อังกฤษ

แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ในวันที่ 31 ส.ค. 1997 ลูกชายของเขากับเจ้าหญิงไดอานาก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันในอุบัติเหตุรถยนต์ที่กรุงปารีส โดยผลการสืบสวนพบว่า เฮนรี พอล คนขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของ อัล ฟาเยด มีแอลกอฮอล์ในร่างกายปริมาณสูงมาก จึงเชื่อว่าเป็นการเมาแล้วขับ

แต่อัล ฟาเยด กล่าวโทษเหล่าปาปารัสซี ที่ขับรถตามลูกชายของเขากับเจ้าหญิงไดอานา ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ

โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด ร่ำไห้เสียใจในพิธีศพลูกชาย
โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด ร่ำไห้เสียใจในพิธีศพลูกชาย

...

เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด

หลายปีหลังเกิดโศกนาฏกรรมครั้งนั้น อัล ฟาเยด ก็เปิดการสืบสวนของตัวเอง เนื่องจากไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยกล่าวโทษกลุ่มที่เขาเรียกว่า “the establishment” ว่าอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุดังกล่าว

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 เขายื่นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่สืบสวนอ้างว่า โดดีกับไดอานาถูกฆาตกรรมตามคำสั่งของเจ้าชายฟิลิป พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 โดยที่หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษอย่าง MI6 ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

แน่นอนว่าคำพูดของเขาถูกประณามอย่างกว้างขวาง และในปีเดียวกัน เจ้าหน้าที่สืบสวนก็ออกมาสรุปว่า โดดีกับไดอานาเสียชีวิตจากสาเหตุร่วมระหว่างพฤติกรรมเมาแล้วขับของพอล กับข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งโดดีและไดอานาไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย และเพราะการขับรถไล่ตามอย่างไม่สนกฎเกณฑ์ของปาปารัสซี

แต่ อัล ฟาเยด ยังไม่ยอมแค่นั้น ในปี 2011 เขาออกทุนทำภาพยนตร์สารคดีในชื่อว่า ‘Unlawful Killing’ หรือการสังหารอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเน้นย้ำทฤษฎีสมคบคิดของเขาเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนั้นที่กรุงปารีส โดยหนังเรื่องนี้ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่ถูกฟ้องร้องไม่ให้ฉายโดยทั่วไป

ห้างสรรพสินค้า แฮร์รอดส์
ห้างสรรพสินค้า แฮร์รอดส์

...

ขายแฮร์รอดส์ ขู่ย้ายไปฝรั่งเศส

การไม่ได้รับสัญญาณอังกฤษ และการเสียชีวิตของลูกชาย ทำให้ อัล ฟาเยด บาดหมางกับเจ้าหน้าที่ของสหราชอาณาจักรอย่างหนัก ในปี 2010 หลายเดือนหลังจากเขายืนยันว่าห้างฯ แฮร์รอดส์ไม่ได้มีไว้ขาย เขากลับขายธุรกิจนี้ให้แก่ กลุ่มทุน Qatar Holdings ในราคา 1.5 พันล้านปอนด์ และใช้เงินที่ได้มาเกือบครึ่งล้างหนี้ของบริษัท

ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ลอนดอน อีฟเวนนิง สแตนดาร์ด (London Evening Standard) อัล ฟาเยด อ้างว่า เขาจำเป็นต้องขายแฮร์รอดส์ เพราะเขาไม่พอใจพวกผู้ดูแลผลประโยชน์เงินบำนาญ ที่ขัดขวางไม่ให้เขาได้รับเงินปันผล “ผมอยู่ที่นี่ทุกวัน ผมรับผลกำไรของผมไม่ได้ เพราะผมต้องขออนุญาตจากพวกหน้าโง่นั่น”

อัล ฟาเยดยังขู่จะย้ายธุรกิจของเขาไปฝรั่งเศสหลายครั้ง เนื่องจากเขามองว่าได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า รวมถึงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ (Legion of Honour) ซึ่งเป็นเครื่องราชย์ ชั้นสูงสุดที่พลเรือนจะได้รับด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ย้ายไปไหน และเสียชีวิตอย่างสงบในกรุงลอนดอน





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : bbcdailymail