ลูกขุนศาลอังกฤษตัดสิน พยาบาลสาวผิดจริง ข้อหาฆ่าทารก 7 ศพ และพยายามฆ่าอีก 6 กลายเป็นฆาตกรฆ่าเด็กต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ส.ค. 2566 คณะลูกขุนมีคำตัดสินในการพิจารณาคดีที่ศาลสูงคดีอาญาเมืองแมนเชสเตอร์ ว่า น.ส.ลูซี เลตบี พยาบาลวัย 33 ปี มีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรมทารกแรกเกิด 7 ศพ และพยายามฆ่าอีก 6 ราย ที่โรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลเคาน์เตส ออฟ เชสเตอร์ ระหว่างเดือนมิถุนายน 2558 ถึงเดือนมิถุนายน 2559 โดยเธอทำร้ายทารกในความดูแลด้วยการฉีดอากาศเข้าในกระแสเลือดและช่องท้อง หรือป้อนนมมากเกินความจำเป็น, ใช้กำลังทำร้าย และวางยาพิษด้วยอินซูลิน จนมีทารกเพศชายเสียชีวิต 5 ศพ และเพศหญิงอีก 2 ศพ

คำตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการพิจารณาคดีนาน 10 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม 2565 และหลังจากคณะลูกขุนใช้เวลาพิจารณานาน 110 ชั่วโมง ทำให้ น.ส.เลตบี กลายเป็นฆาตกรฆ่าเด็กต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ โดยศาลจะตัดสินบทลงโทษเธอในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม คณะลูกขุนตัดสินให้เธอไม่มีความผิดในข้อหาพยายามฆ่า 2 กระทง และมีความเห็นไม่ตรงกันในข้อหาพยายามฆ่าอีก 6 กระทง ซึ่งนายนิโคลัส จอห์นสัน อัยการ กำลังขอให้ศาลพิจารณาเป็นเวลา 28 วัน ว่าจะมีการไต่สวนในข้อหาพยายามฆ่าทั้ง 6 กระทงหรือไม่

น.ส.เลตบี ปฏิเสธที่จะขึ้นศาลฟังคำตัดสินในวันศุกร์ หลังจากเธอร้องไห้อย่างหนักในระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 8 และ 11 สิงหาคม ซึ่งคณะลูกขุนมีคำตัดสินชุดที่ 1 และ 2

ทั้งนี้ น.ส.เลตบี ถูกตำรวจจับกุมตัวในปี 2561 หลังตำรวจมณฑลเชสเชียร์ดำเนินการสืบสวนเป็นเวลา 2 ปี เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้อัตราการเสียชีวิต และเกือบเสียชีวิตของทารกแรกเกิดที่โรงพยาบาลเคาน์เตส ออฟ เชสเตอร์ เพิ่มสูงขึ้นจนผิดปกติ โดยก่อนถึงเดือนมิถุนายน 2558 แผนกเด็กแรกเกิดของโรงพยาบาลนี้มีไม่ถึง 3 รายต่อปี

...

น.ส.เลตบี ถูกจับเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2562 และในเดือนพฤศจิกายน 2563 โดยเจ้าหน้าที่พบจดหมายและโน้ตที่เขียนด้วยลายมือหลายฉบับที่บ้านของ น.ส.เลตบี มีข้อความประณามตนเอง เช่น “ฉันไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ฉันตั้งใจฆ่าพวกเขา เพราะฉันไม่ดีพอที่จะดูแลพวกเขา”

เธอเขียนในเมโมอีกฉบับด้วยว่า “ฉันคือคนชั่วร้ายที่น่ากลัว” และเขียนเน้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดว่า “ฉันคือปิศาจร้ายที่ทำเรื่องนี้”.

ที่มา : bbccnn

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign