นิวเคลียร์ฟิวชัน (nuclear fusion) เป็นปฏิกิริยาเกี่ยวกับการแตกตัวของธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน เพื่อสร้างธาตุที่หนักกว่าและปลด ปล่อยพลังงานจำนวนมากออกมา วิธีการนี้ก่อให้เกิดความร้อนและแสงสว่างของดวงอาทิตย์และดาวดวงอื่นๆ ถูกยกว่ามีศักยภาพมหาศาลในการเป็นแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืนในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยการทดสอบที่พบว่า ได้รับพลังงานสุทธิเป็นครั้งแรกในการทดลองฟิวชันโดยใช้เลเซอร์ การทดลองนั้นบรรลุสิ่งที่เรียกว่า การจุดชนวนฟิวชันแบบยั่งยืน (Fusion Ignition) ในเวลาสั้นๆ โดยการสร้างพลังงาน 3.15 เมกะจูล หลังจากที่เลเซอร์ส่ง 2.05 เมกะจูลไปยังเป้าหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันผลิตพลังงานจากฟิวชันได้มากกว่าพลังงานเลเซอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อน กระทรวงพลังงานสหรัฐฯเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นทศวรรษแห่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่จะปูทางไปสู่ความก้าวหน้าในการป้องกันประเทศและอนาคตของพลังงานสะอาด เพราะปฏิกิริยาดังกล่าวไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือกากกัมมันตภาพรังสีที่เป็นผลพลอยได้ ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ ระบุว่า ได้รับพลังงานสุทธิ “เพิ่มขึ้น” เป็นครั้งที่ 2 ในการทดสอบปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน โดยประสบความสำเร็จด้วยการใช้เลเซอร์เพื่อหลอมรวมอะตอม 2 อะตอม เมื่อ 30 ก.ค. พบว่า ผลิตพลังงานได้สูงกว่าที่ผลิตได้ในเดือน ธ.ค.ปีก่อน แต่ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายยังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยา ศาสตร์เตือนว่าเทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลจากความพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้งานได้ และไม่ได้มาใช้แก้ปัญหาวิกฤติสภาพอากาศ เป็นแต่เพียงความก้าวหน้าใหม่หมาดที่แสดงให้เห็นว่าพลังของดวงดาวก็สามารถนำมาใช้บนโลกได้.