- พรรคของสมเด็จฮุน เซน ชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งไร้คู่แข่ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เปิดทางให้เขาเปลี่ยนผ่านอำนาจแก่ ฮุน มาเนต ผู้เป็นลูกชาย
- ฮุน มาเนต จบการศึกษาระดับสูงจากสหรัฐฯ และอังกฤษ ทำให้นักวิเคราะห์บางคนคาดหวังว่า เขาจะพากัมพูชาเอนเข้าหาสหรัฐฯ มากขึ้น แต่บางคนก็มองว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น
- ในขณะที่ ฮุน มาเนต ได้รับการสืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ตัวสมเด็จฮุน เซน อาจไม่หายหน้าหายตาไปไหน และยังคงควบคุมการเมืองกัมพูชาอยู่เบื้องหลัง
พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ประกาศชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เปิดทางสำหรับการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้นำครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ และยุติการครองอำนาจของสมเด็จฮุน เซน หนึ่งในนายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก
การเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ ถือเป็นการชิงชัยโดยไร้คู่แข่งของพรรค CPP กับอีก 17 พรรคที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก หลังจากรัฐบาล ฮุน เซน ปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนฝ่ายค้านและแกนนำหลายร้อยคนต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ โดย CPP ได้คะแนนเสียงไป 84% จากผู้มาใช้สิทธิ 8.1 ล้านคน
ฮุน เซน ผู้ปกครองกัมพูชามานานถึง 38 ปี ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2564 แล้วว่า เขาเลือก ฮุน มาเนต ลูกชายคนโปรด เป็นผู้สืบทอดของเขา แต่ไม่เคยระบุเวลาแน่ชัดมาก่อนจนกระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค. ฮุน เซน ในวัย 70 ปี ก็ส่งสัญญาณว่า ลูกชายของเขาผู้จบการศึกษาจากชาติตะวันตก อาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนหน้า
การมีตำแหน่งในรัฐสภาแห่งชาติ จะทำให้ ฮุน มาเนต มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หากได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร โดย ฮุน เซน ยืนยันด้วยตัวเองหลังรู้ผลเลือกตั้งว่า ลูกชายได้ตำแหน่ง สส.เขตในกรุงพนมเปญแล้ว และจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ ภายในกรอบเวลา 3-4 สัปดาห์ หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง
แต่ ฮุน มาเนต ผู้ที่เรารู้จักกันในฐานะลูกชายของสมเด็จฮุน เซน มีความเป็นมาอย่างไร เขาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับประเทศหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขาหลังลงจากตำแหน่ง เขาจะค่อยๆ เลือนหายไปเป็นอดีต หรือยังคงวนเวียนอยู่ในโลกการเมืองกัมพูชา
...
นายพลผู้จบการศึกษาจากชาติตะวันตก
ฮุน มาเนต วัย 45 ปี เป็นพลเอก 4 ดาว และรองผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพกัมพูชา สมรสกับ น.ส.พิช จันมุนี บุตรีของสมาชิกสภาอาวุโสคนหนึ่งในกัมพูชา
เขาจบการศึกษาปริญญาตรีจากสถาบันเตรียมทหาร United States Military Academy ในสหรัฐฯ และได้รับปริญญาโทด้านเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และจบปริญญาเอกในสาขาเดียวกันจากมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว มีมารยาททางการทูตตามแบบตะวันตก ต่างจากผู้เป็นบิดา
ฮุน มาเนต ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในกองทัพกัมพูชา ดำรงทั้งตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังเฉพาะกิจต่อต้านการก่อการร้าย, ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการกองทัพบก
เดิมที ฮุน มาเนต ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ มาตลอด และแทบไม่ให้สื่อสัมภาษณ์ แต่มีความเคลื่อนไหวบนสื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจาก ฮุน เซน ประกาศให้เขาเป็นผู้สืบทอด ฮุน มาเนต ก็เริ่มพบปะเจ้าหน้าที่ความมั่นคง, สมาชิกสภา และผู้นำต่างประเทศมากขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า การจบการศึกษาจากชาติตะวันตกจะไม่ได้มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองของเขามากนั้น เมื่อเดือนกันยายน หนังสือพิมพ์ Khmer Times มีบทความชื่นชมความสามารถของ ฮุน มาเนต ในการระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในหมู่ชาวกัมพูชาพลัดถิ่น ซึ่งคบค้าสมาคมกับฝ่ายต่อต้านนายกฯ ฮุน เซน มายาวนาน
Khmer Times ยังชม ฮุน มาเนต ที่ช่วยแก้ไขมุมมองของพรรค CPP ในต่างประเทศให้ถูกต้อง ทำให้พรรคถูกมองในด้านบวกมากขึ้น รวมถึงได้ก่อตั้งสาขาระหว่างประเทศ เพื่อช่วยรวมผู้สนับสนุนในต่างชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ความเปลี่ยนแปลงและปัญหาที่รออยู่
นายเชงปอร์ อูน (Chhengpor Aun) จากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ วิเคราะห์ว่า การเข้ามาของ ฮุน มาเนต อาจทำให้บุคคลระดับสูงของพรรค CPP ส่งต่อตำแหน่งในรัฐบาลของตัวเองให้แก่ทายาทพร้อมๆ กัน โดยที่ตัวเองยังคงดำรงตำแหน่งอาวุโสภายในพรรค
“คนหนุ่มสาวเหล่านั้นในคณะรัฐมนตรี น่าจะได้อำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง แต่ผมคิดว่าการตัดสินใจใหญ่ๆ หลายอย่าง อาจยังต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ของพวกเขาก่อน” นายอูน กล่าว
จนถึงตอนนี้ ฮุน มาเนต ยังไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองใดๆ ออกมา แต่หนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดในการบริหารประเทศของ ฮุน มาเนต คือเรื่องการแก้ไขภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่ถูกมองในเรื่องของการคอร์รัปชัน รวมถึงเรื่องปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่กำลังทำให้น้ำท่วมและภัยแล้งในประเทศรุนแรงขึ้น เนื่องจากภาคการเกษตรยังคงเป็นฐานเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของกัมพูชา
นอกจากนั้น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับจีนก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากชาติตะวันตก โดยพนมเปญมีบทบาทสำคัญในการสกัดไม่ให้ชาติอาเซียนแสดงจุดยืนร่วมกัน เกี่ยวกับการที่จีนอ้างเป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ ชาติตะวันตกยังกล่าวหาด้วยว่า กัมพูชายอมให้จีนสร้างฐานทัพเรือบนชายฝั่งของพวกเขา แต่กัมพูชากับจีนปฏิเสธ
เมื่อปี 2563 ฮุน มาเนต ติดตามบิดาไปเข้าพบประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนด้วย และเมื่อปีก่อนก็ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือรายใหญ่ของกัมพูชา แต่ในทางกลับกัน เขากลับแทบไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำทางการเมืองจากสหรัฐฯ เลย
นักวิเคราะห์ฝ่ายตะวันตกหลายคนคาดหวังว่า การที่ ฮุน มาเนต ผู้จบการศึกษาจากสหรัฐฯ กับอังกฤษ ขึ้นเป็นผู้นำกัมพูชา อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับพนมเปญเปลี่ยนไป กลายเป็นมิตรที่เข้มแข็งขึ้น แต่ นายจอห์น แบรดฟอร์ด จากสถาบันวิจัยเอส ราชารัตนัม ในสิงคโปร์ ระบุว่า อาจไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นเลยก็ได้
“เรามีผู้นำเผด็จการในเกาหลีเหนือ ซึ่งเคยศึกษาในโรงเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์มาแล้ว” นายแบรดฟอร์ด กล่าว “ทางเลือกของเขาไม่ได้สะท้อนค่านิยมของสวิตเซอร์แลนด์เลย”
ขณะที่ นายอู วิรัค ประธานคณะวิจัยฟิวเจอร์ ฟอรัม (Future Forum) ในกรุงพนมเปญ กล่าวว่า การเปลี่ยนยุคสมัยของผู้นำกัมพูชาอาจทำให้เกิดช่วง “ฮันนีมูน” สำหรับการเมืองระหว่างประเทศ แต่ผู้คนจะผิดหวังหากคาดหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์กับจีน เพราะจีนยังคงเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ และหุ้นส่วนหลักที่ทรงอำนาจของกัมพูชา การเอนเอียงหาตะวันตกจึงทำได้อย่างจำกัดเท่านั้น
...
ฮุน เซน จะวางมือเลยหรือไม่
นายกอร์ดอน โคโนชี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลา โทรบ (La Trobe) ในออสเตรเลีย และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประชาธิปไตยในกัมพูชา กล่าวว่า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะคิดว่า ฮุน เซน จะค่อยๆ เลือนหายไป หลังก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายโคโนชีเชื่อว่า ฮุน เซน อาจตัดสินใจเปลี่ยนผ่านอำนาจในตอนนี้ เพราะมองว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ตัวเองยังคงควบคุมหลายๆ อย่างจากข้างสนามได้อยู่ “มันหมายความว่า ในขณะที่ลูกชายของเขาสร้างอำนาจของตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต จะยังมีพ่อที่สุขภาพถือว่าแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจคอยหนุนหลังอยู่”
“ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่ ฮุน เซน ยังอยู่ จะไม่มีใครเคลื่อนไหวต่อต้านพวกเขา และ ฮุน เซน จะเป็นผู้ควบคุม แม้ลูกชายจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม” นายโคโนชี กล่าว
ด้านนายกฯ ฮุน เซน ก็บอกกับผู้สนับสนุนว่า เขาจะใช้อำนาจบริหารประเทศต่อไป แม้จะลงจากตำแหน่งแล้ว “แม้ว่า ฮุน เซน จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว การบริหารจัดการทางการเมืองจะยังคงอยู่ในมือของ ฮุน เซน” ผู้นำกัมพูชากล่าว โดยใช้ชื่อตัวเองเป็นสรรพนามแทนตน
เขาเคยบอกกับผู้สนับสนุนในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนด้วยว่า ไม่ต้องกังวล เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกชายทำประเทศเสียหาย “ผมยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ และลูกชายของผมเป็นแคนดิเดตในอนาคต”
ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี
ที่มา : cna , washingtonpost
...