• พรรคประชาชนกัมพูชา หรือซีพีพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งทั่วไปแบบถล่มทลาย โดยกวาดได้ครบทั้ง 125 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม
  • สมเด็จฮุน เซน วัย 70 ปี เป็นหนึ่งในผู้นำประเทศที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดของโลก โดยปกครองกัมพูชามาแล้ว 38 ปี นับจากก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1985 ขณะมีอายุ 33 ปี
  • ฮุน เซน วางแผนว่า หลังการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาจะสนับสนุนและส่งต่ออำนาจให้แก่นาย ฮุน มาเนต วัย 45 ปี บุตรชายคนโต ซึ่งเป็นนายพลระดับ 4 ดาว เพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้นำประเทศต่อจากเขา

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ขบวนรถมอเตอร์ไซค์ที่บรรทุกกองเชียร์และโบกธงของผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลของกัมพูชา กำลังเตรียมพร้อมสำหรับชัยชนะครั้งสุดท้ายของพวกเขาในใจกลางกรุงพนมเปญ ผู้คนเข้าแถวตามถนนเพื่อรอใช้สิทธิเลือกตั้ง ผู้สนับสนุนพรรคบางคนติดสติกเกอร์ปาร์ตี้บนแก้ม

ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตวัย 45 ปี ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน นั่งอยู่บนหลังรถบรรทุก ทักทายฝูงชน และประกาศว่ามีเพียงพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้นำประเทศได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า แท้จริงแล้ว บิดาของเขาได้สร้างความมั่นใจว่า CPP เป็นพรรคเดียวที่สามารถชนะการเลือกตั้งกัมพูชาได้

...

ฮุน เซน วัย 70 ปี บริหารประเทศกัมพูชาด้วยรูปแบบเฉพาะตัว ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขามาเป็นเวลา 38 ปี ครั้งแรกในระบอบคอมมิวนิสต์แบบเวียดนาม จากนั้นอยู่ภายใต้ระบบหลายพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ และล่าสุดในฐานะผู้นำเผด็จการ

พรรคเดียวที่สามารถท้าทายการปกครองของเขาคือพรรคแสงเทียน ซึ่งถูกกีดกันไม่ให้ลงชิงชัยในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยอ้างเหตุผลทางเทคนิค ส่วนพรรคที่เหลืออีก 17 พรรค ที่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันนั้น ถ้าไม่มีขนาดเล็กเกินไป ก็เป็นพรรคที่ไม่เป็นที่รู้จัก ทำให้ถูกมองว่าไม่เป็นภัยคุกคาม

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปิดหีบเลือกตั้ง พรรค CPP อ้างชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิมากกว่า 80% มีบัตรเสียในระดับค่อนข้างสูงในบางหน่วยเลือกตั้ง นั่นน่าจะเป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัยที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะแสดงการสนับสนุนฝ่ายค้าน

ฮุน มาเนต ถูกคาดหมายว่าจะขึ้นครองอำนาจแทนบิดาภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการลงมติ ที่นับเป็นการถ่ายโอนอำนาจที่เตรียมการมาอย่างยาวนาน สิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนพิธีสืบทอดบัลลังก์มากกว่าการเลือกตั้ง

มู สุจัว อดีตรัฐมนตรีที่ถูกเนรเทศและสมาชิกพรรค CNRP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกพรรคหนึ่งที่ถูกทางการกัมพูชาสั่งห้ามในปี 2560 กล่าวว่า "ผมไม่คิดว่า เราจะเรียกมันว่าเป็นการเลือกตั้งหลอกๆ ได้" 

"เราควรเรียกมันว่า 'การคัดสรร' สำหรับฮุนเซน เพื่อให้แน่ใจว่าพรรคของเขา จะเลือกลูกชายของเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของกัมพูชา เพื่อสานต่อทายาททางการเมืองของตระกูลฮุน"

อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณของความกังวลใจในพรรค CPP ก่อนการลงคะแนน โดยมีการออกกฎหมายใหม่อย่างเร่งรีบ เพื่อลงโทษผู้ใดก็ตามที่สนับสนุนการกาบัตรลงคะแนนให้เป็นบัตรเสีย หรือการบอยคอต สมาชิกของพรรคแสงเทียนหลายคนถูกจับกุม

นายอู วิรัก ผู้ก่อตั้งกลุ่ม "ฟิวเจอร์ ฟอรัม" กล่าวว่า "ทำไมพรรค CPP จึงหาเสียงกันอย่างหนัก ทั้งๆ ที่เลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีคู่แข่งที่แท้จริง นั่นเพราะว่าพวกเขารู้ว่าจะชนะการเลือกตั้ง นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ง่ายสำหรับพวกเขา แต่การได้รับความชอบธรรมนั้นยากกว่ามาก"

"พวกเขาจำเป็นต้องทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนด้วย เพื่อที่ความปราชัยและการหยุดชะงักจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เช่น การประท้วงบนท้องถนน"

ฮุน เซน เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของเอเชีย เป็นนักการเมืองเจ้าเล่ห์ เฉลียวฉลาด และแสดงความเก่งกาจเหนือคู่แข่งครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเล่นงานจีน ซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน รวมถึงต่อต้านสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งกำลังพยายามดึงอิทธิพลที่สูญเสียไปในภูมิภาคกลับคืนมา

แต่ที่ผ่านมาเขาเกือบที่จะแพ้การเลือกตั้ง เขายังคงเปราะบางต่อการแข่งขันกับกลุ่มต่างๆ ในพรรคของเขาเอง และต่อภาวะเศรษฐกิจกัมพูชาตกต่ำอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจทำให้สาธารณชนไม่พอใจเขา ในขณะที่เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำครั้งสำคัญ เขากำลังพยายามประกาศความสำเร็จที่ผ่านมาของเขา

...

ในพื้นที่ทางเหนือของกรุงพนมเปญ เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสร้างเสาหินคอนกรีตและหินอ่อนสูง 33 เมตร ซึ่งเขาเรียกว่า "อนุสรณ์แห่งวิน-วิน" ฐานขนาดมหึมาปกคลุมด้วยหินแกะสลักนูนต่ำ ซึ่งสะท้อนถึงภาพสลักที่นครวัด ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยเป็นพรรณนาถึงการเดินทางของนายฮุน เซน ไปเข้าร่วมกับฝ่ายที่ต่อต้านเขมรแดงในเวียดนามในปี 2520 การกลับมาพร้อมชัยชนะ พร้อมกับการรุกรานของกองทัพเวียดนามในปี 2522 และข้อตกลงกับผู้นำเขมรแดงคนสุดท้ายในปี 2541 ซึ่งยุติสงครามกลางเมือง ซึ่งถือเป็นทั้งชัยชนะของเขาและชาวกัมพูชา

การสร้างสันติภาพและการสร้างความเจริญรุ่งเรือง เป็นข้อเรียกร้องหลักที่ฮุน เซน อ้างความชอบธรรมมาช้านาน ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก แม้ว่าจะมาจากฐานที่ต่ำมากก็ตาม

แต่มันเป็นรูปแบบการเติบโตที่รวมความมั่งคั่งไว้ในมือของคนบางกลุ่ม มันสนับสนุนการแสวงประโยชน์อย่างมหาศาลจากทรัพยากรธรรมชาติของกัมพูชา และทำให้ประชาชนทั่วไปจำนวนมากรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับชัยชนะภายใต้การนำของฮุน เซน

ปราก โสภี อาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอที่หลังร้านซ่อมเครื่องยนต์ ซึ่งอยู่ระหว่างถนนสายหลัก และหนึ่งในทะเลสาบน้ำตื้นหลายแห่งในพื้นที่ราบลุ่มนอกกรุงพนมเปญ พวกเขาอยู่ที่นั่นมา 25 ปี ทำประมงและปลูกผักในทะเลสาบ

อย่างไรก็ตาม วันนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ของทะเลสาบเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และครอบครัวของนางสาวโสภีได้รับคำสั่งให้ย้ายออกไป

เธอแสดงเอกสารจากสภาท้องถิ่น ซึ่งยืนยันว่าเธออาศัยอยู่ที่นั่นมานานแล้ว และเอกสารอีกฉบับหนึ่งคือหมายเรียกขึ้นศาลในข้อหาครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เธอรู้สึกไม่มีอำนาจและโกรธ และเธอไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงคนเดียว

...

ข้อพิพาทเรื่องที่ดินเป็นหนึ่งในความคับข้องใจที่ลุกลามรุนแรงที่สุดในกัมพูชา โฉนดทรัพย์สินทั้งหมดถูกทำลายในการปฏิวัติของเขมรแดง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมือง พื้นที่หลายล้านไร่ได้รับการจัดสรรเพื่อการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการจัดการที่ทำให้นักการเมืองและธุรกิจจำนวนมากที่เป็นพันธมิตรกับฮุน เซน ร่ำรวยขึ้นอย่างมาก

ขณะที่ศาลไม่ค่อยตัดสินคัดค้านกลุ่มผู้อำนาจเหล่านี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) จัดอันดับให้กัมพูชาอยู่ที่ 150 จาก 180 ประเทศที่มีการคอร์รัปชัน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีเพียงเมียนมาและเกาหลีเหนือเท่านั้นที่มีอันดับต่ำกว่า

นางโสภี กล่าวว่า "ฮุน เซน มักจะพูดถึง 'นโยบายที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์' เสมอ แต่เรารู้สึกว่าเขาคนเดียวที่ชนะ เราไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสงบสุขได้ เพราะตอนนี้เรากำลังเผชิญกับการขับไล่ เราซึ่งเป็นชาวกัมพูชาที่แท้จริง ซึ่งอาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ กำลังทุกข์ทรมานในนามของการพัฒนา"

ผู้ที่พยายามรณรงค์ต่อต้านการยึดที่ดินและการขับไล่ถูกคุกคาม ทุบตี และจำคุก เช่นเดียวกับนักสหภาพแรงงานและผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน เมื่อถามนางโสภีว่า เธอจะลงคะแนนเสียงอย่างไรในการเลือกตั้งครั้งนี้ เธอถามว่า "ฉันเลือกใครได้บ้าง" "ใครจะปกป้องฉันได้"

...

เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิลงคะแนนมีอายุต่ำกว่า 35 ปี พรรค CPP จึงพยายามดึงดูดพวกเขาโดยให้นายฮุน มาเนต และผู้นำพรรครุ่นเยาว์คนอื่นๆ ดำเนินการหาเสียงในปีนี้ โดยใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดียที่ลื่นไหล

แต่เนื่องจากชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามหรือเขมรแดง นายไล จันทราวุธ บัณฑิตกฎหมายวัย 23 ปี และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเด็นการรณรงค์ของพรรค CPP แบบเก่า ไม่สามารถโน้มน้าวใจได้อีกต่อไป

"ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮุน มาเนต คือคนรุ่นผมแตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งเคยบอบช้ำจากเขมรแดง"

"ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเฝ้าดูพรรครัฐบาลเตือนเราถึงโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น พวกเขาบอกเราว่า เมื่อพวกเขานำสันติภาพมาให้ เราควรสนับสนุนพวกเขา แต่การโต้เถียงนั้นได้ผลน้อยลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พรรครัฐบาลหยิบยกขึ้นมา คนรุ่นใหม่จะเย้ยหยันพวกเขา เพราะพวกเขาพูดซ้ำๆ ซากๆ มาตลอด 30 ปี"

ฮุน มาเนต สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์ผู้นำที่หยาบกระด้าง ซึ่งบางครั้งก็ดื้อรั้นของพ่อของเขา ให้เป็นการปกครองที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนกว่านี้ได้หรือไม่? แม้เขาจะศึกษาแบบตะวันตก และดำรงตำแหน่งผู้นำกองทัพ และการฝึกปรือฝีมือนานหลายปี แต่เขายังไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง

ขณะเดียวกัน ลูกชายของนักการเมืองที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับนายฮุน เซน เช่น นายเตีย บัญ รัฐมนตรีกลาโหม และนายซอ เค็ง รัฐมนตรีมหาดไทย ก็ถูกคาดหมายว่าจะเข้ามาแทนที่บิดาของพวกเขาในคณะรัฐมนตรี การเปลี่ยนแปลงในตระกูลการเมือง ซึ่งทำให้อำนาจยังคงอยู่ในตระกูลเดิม แต่อยู่ในมือของผู้ที่มีประสบการณ์น้อยกว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจเป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนและอันตรายสำหรับกัมพูชา.

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign