• พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร เตรียมเสด็จเข้าพิธีบรมราชาภิเษก อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 6 พ.ค. นี้ เพื่อขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ

  • ในวัยพระเยาว์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เป็นมกุฎราชกุมารองค์แรกของอังกฤษที่ศึกษาที่โรงเรียนไม่ใช่ในพระราชวัง และทำให้พระองค์ทรงถูกรังแกจากเพื่อนนักเรียน

  • อีกเรื่องที่เป็นมรสุมชีวิตหนักหนาที่สุดของพระเจ้าชาร์ลส์คือชีวิตรักดั่งละครระหว่างพระองค์กับ เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ และคามิลลา ปาร์กเกอร์ ที่มีทั้งสุขและเศร้า

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร จะเสด็จเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 6 พ.ค. 2566 นี้ แม้พระองค์จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของอังกฤษทันที หลังการสวรรคตของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อ 8 ก.ย. ปีก่อน แต่ยังมีพิธีและขั้นตอนอีกหลายอย่างที่พระองค์ต้องทรงผ่านเพื่อความเป็นกษัตริย์อย่างสมบูรณ์

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงผ่านเรื่องราวในชีวิตมากมายในฐานะเจ้าชายผู้ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารยาวนานที่สุด รวมทั้งโศกนาฏกรรมความรักของพระองค์ที่ถูกจับตาไปทั่วโลก

...

วัยพระเยาว์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

เจ้าชายชาร์ลส์ประสูติที่พระราชวังบักกิงแฮม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2491 พร้อมกับเสียงดังระงมของระฆังโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ แอบบีย์ ขณะที่กองทหารม้าปืนใหญ่ยิงปืนสลุต 41 นัดที่สวนสาธารณะ ไฮด์ พาร์ก เพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระองค์

พอเจ้าชายชาร์ลส์พระชนมายุได้ 4 พรรษา เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระมารดาของพระองค์ ก็เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และทำให้เจ้าชายน้อยกลายเป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์อังกฤษ

เจ้าชายชาร์ลส์เป็นรัชทายาทพระองค์แรกที่ได้รับการศึกษานอกพระราชวังบักกิงแฮม โดยทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลในกรุงลอนดอน ตามด้วยเข้าโรงเรียนประจำชื่อ กอร์ดอนสตูน ในสกอตแลนด์ ซึ่งเจ้าชายฟิลิป พระบิดาของพระองค์ทรงเคยศึกษาอยู่ แต่เนื่องจากพระองค์เป็นพระโอรสของคนดังอย่างสมเด็จพระราชินีนาถ ทำให้ทรงตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้ง พระองค์ทรงเคยบอกกับสื่อว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในสถาบันกินนอนนั้น เหมือนต้องโทษจำคุกก็ไม่ปาน

เจ้าชายชาร์ลส์รับตำแหน่งเจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งเป็นตำแหน่งของมกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ในปี 2501 ซึ่งเป็นช่วงที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาตินิยมเวลส์ในสหราชอาณาจักรขยายตัวขึ้น ทำให้ก่อนเข้าพิธีรับตำแหน่งในปี 2512 พระองค์จึงทรงออกจากวิทยาลัยทรินิตี ในเมืองเคมบริดจ์ และเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเวลส์กับอาจารย์ เอ็ดเวิร์ด มิลวาร์ด ที่มหาวิทยาลัยแห่งเวลส์ ในเมืองอาเบอริสต์วิธ

ในพิธีรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์ที่ปราสาทแคร์นาร์ฟอน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2512 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ไม่สนพระทัยกระแสถกเถียงต่างๆ และตรัสสาบานตนเป็นภาษาเวลส์ ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ชาวเวลส์อย่างมาก

หลังจากพระองค์ทรงจบปริญญาตรีสาขาวิชาศิลปะจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เจ้าชายชาร์ลส์ก็เข้าประจำการกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือแห่งสหราชอาณาจักรเป็นเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2514-2519

โศกนาฏกรรมและรักแท้

ในวัยหนุ่ม เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ใช้ชีวิตแบบชาวอังกฤษผู้มีฐานะดีทั่วไป แม้จะมีพระกรณียกิจในฐานะเจ้าชายบ้างก็ตาม โดยพระองค์มักทรงใช้เวลาว่างในการทรงสกี, ทรงโปโล และนิยมการบริจาคพระราชทรัพย์ให้แก่การกุศล แต่เมื่อพระองค์เติบโตขึ้น สื่อในประเทศที่ชอบทำข่าวการใช้ชีวิตของเชื้อพระวงศ์อยู่แล้ว ก็เริ่มหันมาเก็บภาพสมาชิกราชวงศ์นอกเวลางานอย่างเป็นทางการมากขึ้น

ปี 2524 เจ้าชายชาร์ลส์ พระชนมายุ 31 พรรษา ก็เข้าพิธีเสกสมรสอย่างยิ่งใหญ่กับ เลดี้ ไดอานา สเปนเซอร์ ในวันที่ 29 ก.ค. ที่โบสถ์ใหญ่เซนต์พอล ในกรุงลอนดอน ทั้งคู่มีพระโอรสด้วยกัน 2 พระองค์คือ เจ้าชายวิลเลียม ประสูติเมื่อ 21 มิ.ย. 2525 กับเจ้าชายแฮร์รี่ ประสูติเมื่อ 15 ก.ย. 2527

ด้วยความที่ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีสิริโฉมงดงามและบุคลิกอบอุ่น รวมถึงสไตล์การแต่งตัวที่ทันสมัย ทำให้ทรงได้รับความรักมากมายจากชาวอังกฤษ ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวรอต้อนรับตอนพระองค์เสด็จต่างประเทศ ขณะที่เหล่าปาปารัซซีก็มักติดตามพระองค์ไปทุกที่

แต่การแต่งงานระหว่างทั้งสองก็ต้องจบลง ชาร์ลส์ยอมรับในการให้สัมภาษณ์ปี 2537 ว่า เป็นตัวพระองค์เองที่ไม่ซื่อสัตย์ ก่อนที่ไดอานาจะให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์ตามมาว่า “มีพวกเรา 3 คนอยู่ในชีวิตแต่งงานนี้ มันจึงค่อนข้างแออัด” เนื่องจากชาร์ลส์ยังคงมีความสัมพันธ์กับ คามิลลา ปาร์กเกอร์ โบว์ลส์ ผู้เป็นรักเก่า

...



จริงๆ แล้ว ชาร์ลส์มีความรักให้คามิลลาอยู่ก่อนหลังจากทั้งคู่พบกันในงานแข่งขันโปโล แต่ฝ่ายราชวงศ์กลับไม่ปลื้ม จนคามิลลาไปแต่งงานกับนายทหาร ส่วนชาร์ลส์ถูกจับคู่กับไดอานา ผู้มาจากตระกูลขุนนางเก่า ซึ่งถูกมองว่าสมฐานะกัน แต่ทว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจากความรัก สร้างความอึดอัดตามมา

สุดท้ายชาร์ลส์กับไดอานาหย่าขาดจากกันในวันที่ 28 ส.ค. 2539 แต่ไดอานายังคงดำรงตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งเวลส์ และอาศัยอยู่ที่พระราชวังเคนซิงตัน และปฏิบัติกิจสาธารณะของเชื้อพระวงศ์อังกฤษต่อไป จนกระทั่งไดอานาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ในอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อ 31 ส.ค. 2540 ขณะนั่งรถหนีปาปารัซซี

การเสียชีวิตของไดอานาสร้างความเสียใจให้กับแฟนๆ ของเธอทั่วโลก การถ่ายทอดสดงานพิธีศพที่โบสถ์เวสต์มินสเตอร์ แอบบีย์ มีผู้ชมมากกว่า 31 ล้านคน โดยที่บางคนโทษเจ้าชายชาร์ลส์ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องราวความรักที่หลายคนเคยมองว่าเป็นเหมือนเทพนิยายครั้งนี้ จบลงด้วยโศกนาฏกรรม

หลังจากนั้น เจ้าชายชาร์ลส์กับคามิลลาก็ระมัดระวังเรื่องการปรากฏตัวพร้อมกันในที่สาธารณะ เพราะรู้ว่าสังคมบางส่วนในตอนนั้นยังไม่อาจรับได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระแสความไม่พอใจเริ่มซาลง ทั้งคู่จึงเริ่มแสดงความรักกันในที่สาธารณะเป็นครั้งแรกในปี 2544 เมื่อทั้งสองหอมแก้มกันและกันที่งานอีเวนต์ของสมาคมโรคกระดูกพรุนแห่งชาติ

ก่อนที่ 2 ปีต่อมา เจ้าชายชาร์ลส์กับคามิลลาจะย้ายไปอยู่ตำหนักคลาเรนซ์ เฮาส์ด้วยกัน และชาร์ลส์ก็ได้เสกสมรสกับรักแท้ของพระองค์ในปี 2548

...

เป็นนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เป็นนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว และปฏิบัติพระกรณียกิจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลานานก่อนที่จะกลายเป็นกระแสในปัจจุบัน และยังคงสนับสนุนในนามของสิ่งแวดล้อมมาจนถึงทุกวันนี้ ควบคู่ไปกับงานการกุศลอื่นๆ

ในปี 2564 ชาร์ลส์ ที่ในขณะนั้นยังเป็นมกุฎราชกุมารแห่งสหราชอาณาจักร ได้วิงวอนประเทศต่างๆ ที่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ในสกอตแลนด์ ให้ร่วมมือกันหาทางแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสหภาพอากาศ

พระองค์ยังเป็นผู้สนับสนุนสำคัญของ ‘ความตกลงปารีส’ (Paris Climate Accord) อันเป็นข้อตกลงด้านสภาพแวดล้อมฉบับสำคัญที่สุด ซึ่งนับร้อยประเทศร่วมลงนามในปี 2558 ด้วย

...

ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์

เมื่อ 8 ก.ย. 2565 ชาวอังกฤษก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อสำนักพระราชวังบักกิงแฮมประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วยโรคชรา ทำให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่โดยอัตโนมัติ และพระองค์ทรงเลือกใช้พระนามว่า พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

จากนั้นในวันเสาร์ที่ 1 ก.ย. 2565 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ก็ได้รับการประกาศให้เป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ ในพิธีที่พระราชวังเซนต์เจมส์ ในกรุงลอนดอน ต่อหน้าคณะกรรมการประกอบพิธีที่เรียกว่า สภาการขึ้นครองราชย์ (Accession Council) ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วย ส.ส.อาวุโสทั้งอดีตและปัจจุบัน, เหล่าขุนนาง รวมทั้งข้าราชการระดับสูง, ข้าหลวงใหญ่เครือจักรภพ และนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน

การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าชาร์ลส์ทำให้พระองค์กลายเป็นผู้นำประเทศเครือจักรภพ อันประกอบด้วยรัฐอิสระ 56 ประเทศ โดย 14 ประเทศในจำนวนนี้ รวมถึงสหราชอาณาจักร ถือพระองค์เป็นพระประมุขของรัฐ

ไม่ใช่แค่พระเจ้าชาร์ลส์เท่านั้นที่ตำแหน่งเปลี่ยนไป เจ้าชายวิลเลียมพระโอรสของพระองค์กับแคเธอรีน พระชายา ได้รับตำแหน่งดยุคและดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ ซึ่งเป็นตำแหน่งเก่าของพระบิดา เพิ่มเติมจากตำแหน่งดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ นอกจากนั้นพระราชาองค์ใหม่ยังแต่งตั้งให้ทั้งคู่เป็น เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วย

ขณะเดียวกัน คามิลลาก็ได้รับตำแหน่งสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกคู่ครองของพระมหากษัตริย์อังกฤษ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

จุดสูงสุดของกระบวนการขึ้นครองราชบัลลังก์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ก็คือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่พระองค์จะเสด็จขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการมาก พิธีจึงมักจัดขึ้นภายหลังจากกษัตริย์ขึ้นครองราชย์แล้ว เช่นเดียวกับกรณีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งสืบราชบัลลังก์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2495 แต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกกลับจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2496

ตลอด 900 ปีที่ผ่านมา พระราชพิธีบรมราชาภิเษกล้วนจัดขึ้นที่โบสถ์เวสต์มินสเตอร์ แอบบีย์ โดยพระเจ้าวิลเลียม ผู้พิชิต เป็นกษัตริย์องค์แรกของอังกฤษที่ทำพิธีที่นั่น ขณะที่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จะเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 40

อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์บิวรีจะเป็นผู้ทำพิธีกรรมในวันที่ 6 พ.ค. 2566 ซึ่งจัดตามแบบศาสนาคริสต์นิกายแองกลิคัน ก่อนที่ในช่วงท้ายของพิธี อาร์คบิชอปจะสวมพระมหามงกุฎ เซนต์เอ็ดเวิร์ด บนพระเศียรของคิงชาร์ลส์ ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพพระองค์จะได้ทรงพระมหามงกุฎนี้เพียงครั้งเดียว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น

จากนั้น กษัตริย์พระองค์ใหม่จะเสด็จขึ้นประทับบนพระราชอาสน์อันเป็นสัญลักษณ์ของการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ และเปิดโอกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนาง ต่อแถวเข้าเฝ้าฯ เพื่อแสดงความเคารพและความจงรักภักดี




ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : bbcwashingtonpost